สังคมการทำงานยุคใหม่เผชิญกับวิกฤตการหมดพลังงานของคนทำงาน แม้จะมีเทคนิคการบริหารเวลาหลากหลายแบบ แต่หลายคนยังคงรู้สึกเหนื่อยล้าและไม่มีความสุขกับชีวิต ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการทำงานชี้ให้เห็นว่า ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่การจัดการเวลา แต่อยู่ที่การบริหารพลังงานตัวเอง
การค้นพบที่เปลี่ยนมุมมองการทำงาน
คริสติน บราวน์สโตน นักเขียนชื่อดังจากนิตยสาร Fast Company เผยประสบการณ์ที่น่าสนใจเมื่อเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นนักบริหารระดับสูงมาขอคำปรึกษาเรื่องการบริหารเวลา หลังจากที่เธอพยายามใช้เทคนิคต่างๆ มากมายแต่ยังคงรู้สึกหมดไฟและไม่มีความสุขในการทำงาน
“เพื่อนของฉันตื่นตั้งแต่เช้า 6 โมง อาบน้ำ แต่งตัว เดินทางไปทำงาน จนถึง 6 โมงเย็น วันแล้ววันเล่า ทั้งที่พยายามบริหารเวลาอย่างเต็มที่แล้ว แต่ทำไมยังรู้สึกหมดพลังและไม่มีความสุขกับชีวิต” คริสติน เล่าถึงปัญหาที่หลายคนเผชิญ
ผ่านการสังเกตและวิเคราะห์ คริสติน ค้นพบว่า ความสำเร็จในการทำงานของเธอไม่ได้มาจากการจัดการเวลาอย่างเดียว แต่มาจากการบริหารพลังงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่า การค้นพบนี้นำไปสู่การปฏิวัติวิธีคิดเกี่ยวกับการทำงานและการใช้ชีวิตของคนยุคใหม่
วิทยาศาสตร์เบื้องหลังพลังงานและอารมณ์
รัส ฮัดสัน ผู้เชี่ยวชาญด้าน Enneagram และนักจิตวิทยาชื่อดัง ได้มาแชร์มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างอารมณ์และพลังงาน เขาอธิบายว่า อารมณ์ทางลบอย่างความหงุดหงิดเป็นเหมือนภาวะเสพติดที่ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนความเครียด
“เมื่อเราอยู่ในสภาวะหงุดหงิดต่อเนื่อง พลังชีวิตของเราจะติดอยู่ในความหงุดหงิดนั้น แทนที่จะถูกนำไปใช้ในกิจกรรมที่สร้างสรรค์และมีประโยชน์” รัส อธิบายกลไกที่ทำให้คนเราหมดพลังงาน
จากการศึกษาทางประสาทวิทยา พบว่า เมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะเครียดต่อเนื่อง ระบบประสาทจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลและอะดรีนาลีนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายอยู่ในสภาวะ “ต่อสู้หรือหนี” ตลอดเวลา ส่งผลให้พลังงานถูกใช้ไปในการรับมือกับความเครียดแทนที่จะใช้ในการทำงานอย่างสร้างสรรค์
นอกจากนี้ การวิจัยยังพบว่า อารมณ์ทางลบที่สะสมจะส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการย่อยอาหาร และการทำงานของสมอง ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงและส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว
ปัญหาของวัฒนธรรมการทำงานแบบหักโหม
วัฒนธรรมการทำงานหนักในปัจจุบันสร้างภาพลวงตาว่า การบริหารเวลาคือทางออกของการหมดไฟ หลายองค์กรส่งเสริมให้พนักงานใช้เทคนิคการจัดการเวลาต่างๆ เช่น การทำ to-do list การตั้งเป้าหมายระยะสั้น หรือการใช้แอปพลิเคชันช่วยจัดการเวลา
แต่ความจริงแล้ว การมุ่งเน้นแต่การบริหารเวลาอาจยิ่งส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานแบบหักโหมให้ดำเนินต่อไป โดยไม่ได้แก้ไขปัญหาที่แท้จริง คือการที่คนทำงานไม่มีพลังงานเหลือเพื่อทำสิ่งที่สำคัญจริงๆ
ดร.สมชาย วรรณศิลป์ นักจิตวิทยาองค์กรจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า “การบริหารเวลาเป็นเพียงเครื่องมือ แต่ถ้าเราไม่มีพลังงานที่จะใช้เครื่องมือนั้น ก็เหมือนกับมีรถดีๆ แต่ไม่มีน้ำมัน เราก็ไปไหนไม่ได้”
สถิติจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ. 2567 พบว่า คนทำงานไทยใช้เวลาทำงานเฉลี่ย 52.3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากล และ 73% ของคนทำงานรายงานว่ามีอาการเหนื่อยล้าจากการทำงาน ขณะที่ 45% รู้สึกไม่มีความสุขในการทำงาน
หลักการบริหารพลังงานเพื่อชีวิตที่ยั่งยืน
1. สร้างความตระหนักรู้ในพลังงานของตัวเอง
ขั้นตอนแรกในการบริหารพลังงานคือการรู้จักแยกแยะพลังงานดีและพลังงานลบ พลังงานมีหลายประเภท บางแบบเร่งรีบและผลักดัน แต่อีกแบบเปิดกว้าง อิสระ และมีชีวิตชีวา แบบหลังนี้คือพลังงานที่ยั่งยืน เกิดจากการทำกิจกรรมที่ตรงกับจุดแข็งของเรา ทำแล้วรู้สึกมีพลังและเติบโตขึ้น
สำหรับคริสติน การโค้ชเป็นกิจกรรมที่เติมพลังให้เธอ ในขณะที่การจัดตู้เสื้อผ้าหรือทำงบประมาณกลับดูดพลังของเธอ แต่สำหรับบางคน กิจกรรมเหล่านี้กลับสร้างความพึงพอใจและฟื้นฟูพลังงาน ทุกคนมีกิจกรรมเติมพลังที่แตกต่างกัน
การระบุกิจกรรมที่เติมพลังต้องใช้การสังเกตตัวเองอย่างสม่ำเสมอ คุณสามารถเริ่มต้นด้วยการจดบันทึกความรู้สึกหลังจากทำกิจกรรมต่างๆ เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ สังเกตว่าหลังจากทำอะไรแล้วรู้สึกมีพลัง และอะไรที่ทำให้รู้สึกหมดแรง
นักจิตวิทยา Dr. Ulrich Ebner-Priemer จากสถาบัน Karlsruhe Institute of Technology ได้ทำการศึกษาและพบว่า คนที่สามารถระบุกิจกรรมที่เติมพลังได้อย่างแม่นยำ มีแนวโน้มที่จะมีความสุขในการทำงานมากกว่า 35% และมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงกว่า 23%
2. พัฒนาวิจารณญาณในการเลือกกิจกรรม
เมื่อเข้าใจว่ากิจกรรมใดสร้างพลังงานแบบไหนให้คุณแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกกิจกรรมที่ขยายพลังงานเป็นหลัก และรู้ด้วยว่ากิจกรรมไหนดูดพลังของคุณ แม้เราอาจไม่สามารถกำจัดกิจกรรมที่ดูดพลังงานทั้งหมดได้ แต่การบริหารเวลาไม่ใช่ทางออกสำหรับตารางชีวิตที่เต็มไปด้วยกิจกรรมที่ดูดพลัง
คนส่วนใหญ่จดโฟกัสกับการทำให้รายการสิ่งที่ต้องทำเสร็จสิ้น แต่ความพึงพอใจที่แท้จริงไม่ได้มาจากการขีดฆ่ารายการเหล่านั้นออก แต่มาจากความตั้งใจในสิ่งที่เราเลือกใส่ลงไปในรายการ ถ้าทุกสิ่งในรายการคือสิ่งที่ดูดพลังงาน คุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อทำสิ่งเหล่านั้นเสร็จ?
การสร้างความตระหนักรู้นี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสังคมเรามักจะให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่ากระบวนการ ทำให้เราลืมไปว่าการเดินทางไปสู่เป้าหมายก็สำคัญพอๆ กับการไปถึงเป้าหมาย
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้เทคนิค “การตรวจสอบพลังงาน” โดยถามตัวเองก่อนเริ่มทำกิจกรรมใดๆ ว่า:
- กิจกรรมนี้จะเติมพลังให้ฉันหรือดูดพลังจากฉัน?
- ฉันรู้สึกอย่างไรเมื่อนึกถึงการทำกิจกรรมนี้?
- มีวิธีอื่นในการทำสิ่งนี้ที่จะเติมพลังให้ฉันมากกว่าไหม?
3. เลือกและยอมเสียสละบางสิ่ง
การเลือกเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราทำทุกอย่างไม่ได้ แต่ถ้าเรารู้ตัวและพิจารณาดีว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธอะไร โดยคำนึงถึงผลลัพธ์ในแง่การสร้างหรือดูดพลังงาน เราก็มีโอกาสสร้างพลังงานและความพึงพอใจได้มากขึ้น
การตอบปฏิเสธอาจยากในตอนแรก โดยเฉพาะในสังคมไทยที่เน้นความกตัญญู และการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่ผลลัพธ์ระยะยาวคือชีวิตที่มีพลังงานมากขึ้น การเลือกทำสิ่งที่เติมพลังให้คุณ และกล้าที่จะปฏิเสธสิ่งที่ดูดพลังออกไป จะส่งผลดีต่อทั้งตัวคุณเองและคนรอบข้าง
ดร.แสงทิพย์ นิลวงศ์ นักจิตวิทยาคลินิกจากโรงพยาบาลศิริราช อธิบายว่า “การปฏิเสธที่มาจากการรู้ตัว ไม่ใช่การเห็นแก่ตัว แต่เป็นการดูแลตัวเองเพื่อที่จะสามารถให้ความช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างยั่งยืน”
เทคนิคที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำในการปฏิเสธอย่างสร้างสรรค์:
การใช้หลัก “ใช่ หาก…” (Yes, if…) แทนที่จะปฏิเสธตรงๆ ให้เสนอเงื่อนไขที่จะทำให้คุณสามารถตอบรับได้ เช่น “ใช่ ผมช่วยได้ หากเราสามารถปรับเวลาเป็นหลังจาก 3 โมงเย็นได้” หรือ “ใช่ ดิฉันร่วมโปรเจกต์ได้ หากมีเวลาเตรียมตัว 1 สัปดาห์”
การเสนอทางเลือก แทนที่จะปฏิเสธ ให้เสนอทางเลือกอื่น เช่น “งานนี้น่าสนใจมาก แต่ตอนนี้ผมมีภาระงานเต็มแล้ว แต่ผมแนะนำ คุณ A ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้”
การอธิบายเหตุผลที่สร้างสรรค์ แทนที่จะบอกว่า “ไม่มีเวลา” ให้อธิบายว่า “ตอนนี้ผมกำลังมุ่งเน้นกับโปรเจกต์ X เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด”
4. จัดการกับอารมณ์ทางลบด้วยการรับรู้
เมื่อเราตกอยู่ในอารมณ์ทางลบที่ดูดพลังงาน รัส ฮัดสัน แนะนำให้ใช้เทคนิค “การสร้างการรับรู้” (presencing) หมายถึงการสังเกตเห็นอารมณ์ที่มาครอบงำ หายใจเข้าไปในอารมณ์นั้น เห็นมัน ยอมรับมัน และหายใจเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
เมื่อรู้สึกหงุดหงิด เป้าหมายคือการสังเกตเห็น เรียกชื่อมัน และหายใจเข้าไป หากไม่ทำเช่นนี้ เราก็กำลังอยู่บนเส้นทางสู่การสูญเสียพลังงาน รัส เปรียบการรับรู้เหมือนเชื้อเพลิงจรวดที่เติมเต็มร่างกายด้วยพลังงานและความสว่าง ช่วยให้เราออกจากเรื่องราวของสิ่งที่เกิดขึ้นและเข้าสู่พลังงานของมัน
การควบคุมพลังงานนี้จะนำมาซึ่งความคิดสร้างสรรค์ในการทำสิ่งถูกต้องต่อไป งานวิจัยจาก Harvard Medical School พบว่า การฝึกสติ (mindfulness) เป็นประจำสามารถลดฮอร์โมนความเครียดได้ถึง 40% และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ 25%
เทคนิคการรับรู้อารมณ์ในทางปฏิบัติ:
การตั้งชื่ออารมณ์ (Emotion Labeling) เมื่อรู้สึกอึดอัด ให้ลองตั้งชื่อให้กับอารมณ์นั้น เช่น “ตอนนี้ฉันรู้สึกหงุดหงิด” หรือ “ฉันกำลังรู้สึกวิตกกังวล” การตั้งชื่อจะช่วยให้สมองส่วนที่ใช้เหตุผลเข้ามาทำงาน และลดความรุนแรงของอารมณ์
การหายใจแบบลึก (Deep Breathing) หายใจเข้าลึกๆ ผ่านจมูก นับ 1-4 กลั้นหายใจ นับ 1-4 แล้วหายใจออกทางปาก นับ 1-6 ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง เทคนิคนี้จะช่วยกระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเธติก ทำให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะผ่อนคลาย
การสแกนร่างกาย (Body Scan) เริ่มจากศีรษะ ค่อยๆ ไล่ไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย สังเกตว่าส่วนไหนตึงเครียด ส่วนไหนผ่อนคลาย เทคนิคนี้จะช่วยให้เราตระหนักรู้ถึงผลกระทบทางกายของอารมณ์
การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
การบริหารพลังงานไม่ใช่ทฤษฎีที่ซับซ้อน แต่เป็นการปฏิบัติที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ทันที หลายองค์กรทั้งในและต่างประเทศเริ่มนำหลักการนี้มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาพนักงาน
กรณีศึกษา: บริษัท XYZ จำกัด
บริษัท XYZ จำกัด บริษัทด้านเทคโนโลยีขนาดกลางในกรุงเทพฯ ได้นำหลักการบริหารพลังงานมาใช้กับพนักงาน หลังจากพบว่าอัตราการลาออกของพนักงานสูงถึง 35% ต่อปี และคะแนนความพึงพอใจในการทำงานอยู่ที่ 2.8 จาก 5
บริษัทเริ่มต้นด้วยการให้พนักงานทำแบบประเมินเพื่อระบุกิจกรรมที่เติมพลังและดูดพลัง จากนั้นปรับโครงสร้างงานให้แต่ละคนได้ทำงานที่ตรงกับจุดแข็งมากขึ้น และลดงานที่ดูดพลังลง 30%
ผลลัพธ์หลังจาก 6 เดือน:
- อัตราการลาออกลดลงเหลือ 18%
- คะแนนความพึงพอใจเพิ่มขึ้นเป็น 4.1 จาก 5
- ประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น 28%
- จำนวนวันลาป่วยลดลง 40%
คุณสมศักดิ์ ผู้จัดการทรัพยากรบุคคล กล่าวว่า “เราค้นพบว่า การให้คนทำงานที่พวกเขารักและเก่งจริงๆ สำคัญกว่าการให้พวกเขาทำงานหนักในสิ่งที่พวกเขาไม่ชอบ”
กรณีศึกษา: โรงเรียนดรุณากาญจนบุรี
โรงเรียนดรุณากาญจนบุรี ได้นำหลักการบริหารพลังงานมาใช้กับครูผู้สอน หลังจากพบว่าครูมีอาการเบื่อหน่ายและเหนื่อยล้าจากการทำงานสูง
โรงเรียนจัดให้มีการฝึกอบรมการรับรู้อารมณ์ และให้ครูแต่ละคนระบุวิชาและกิจกรรมที่ทำแล้วมีความสุข จากนั้นปรับตารางสอนให้ครูได้สอนในสิ่งที่ตรงกับความถนัดมากขึ้น
ผลลัพธ์หลังจาก 1 ปี:
- คะแนนความสุขของครูเพิ่มขึ้น 45%
- ผลการเรียนของนักเรียนเพิ่มขึ้น 15%
- อัตราการลาป่วยของครูลดลง 50%
คุณครูสุภาพ ครูใหญ่โรงเรียน กล่าวว่า “เมื่อครูมีความสุขในการสอน นักเรียนก็จะได้รับประโยชน์ตามมา เพราะความสุขมีพลังในการติดต่อ”
ข้อเสนอแนะสำหรับนายจ้างและผู้บริหาร
1. ออกแบบงานที่เน้นจุดแข็ง แทนที่จะมุ่งเน้นแก้ไขจุดอ่อน ให้โอกาสพนักงานได้ทำงานที่ตรงกับจุดแข็งของพวกเขา การวิจัยของ Gallup พบว่า พนักงานที่ได้ใช้จุดแข็งในการทำงานทุกวัน มีประสิทธิภาพสูงกว่า 300% และมีความผูกพันกับองค์กรมากกว่า 600%
2. สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการฟื้นฟูพลังงาน จัดพื้นที่พักผ่อนที่เหมาะสม ให้เวลาพักที่เพียงพอ และส่งเสริมกิจกรรมที่ช่วยเติมพลัง เช่น การออกกำลังกาย การทำสมาธิ หรือกิจกรรมสร้างสรรค์
3. ฝึกอบรมผู้บริหารในการรับรู้สัญญาณความเครียด ผู้บริหารควรรู้จักสังเกตสัญญาณของการหมดพลังงานในทีม และมีทักษะในการให้การสนับสนุนที่เหมาะสม
4. วัดผลในแง่ของพลังงานและความผูกพัน นอกจากการวัดผลด้านประสิทธิภาพ ควรมีการสำรวจความสุขและพลังงานของพนักงานเป็นประจำ
ข้อเสนอแนะสำหรับบุคคลทั่วไป
1. เริ่มต้นด้วยการสังเกตตัวเอง จดบันทึกกิจกรรมและความรู้สึกเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ เพื่อระบุแพทเทิร์นของพลังงานของตัวเอง
2. สร้างขอบเขตที่ชัดเจน กำหนดเวลาทำงานและเวลาพักผ่อนอย่างชัดเจน หยุดตรวจอีเมลหรือข้อความงานหลังเลิกงาน
3. หาทางออกสร้างสรรค์สำหรับงานที่ดูดพลัง ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงงานที่ดูดพลังได้ ให้หาวิธีทำให้งานนั้นน่าสนใจขึ้น เช่น การฟังเพลงขณะทำงาน การทำงานในสภาพแวดล้อมที่ชื่นชอบ หรือการรางวัลตัวเองหลังทำงานเสร็จ
4. ลงทุนในกิจกรรมเติมพลัง ใช้เวลาและเงินในกิจกรรมที่เติมพลังให้คุณ แม้จะดูเหมือนไม่มีประโยชน์โดยตรงต่อการทำงาน แต่จะส่งผลดีต่อประสิทธิภาพโดยรวม
อนาคตของการทำงานในยุคการบริหารพลังงาน
ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า ในอนาคต 10 ปีข้างหน้า การบริหารพลังงานจะกลายเป็นทักษะที่สำคัญพอๆ กับการบริหารเวลา องค์กรที่ประสบความสำเร็จจะเป็นองค์กรที่เข้าใจและสามารถจัดการพลังงานของพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดร.วิชัย วาณิชย์เจริญกิจ นักวิชาการด้านการจัดการจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) กล่าวว่า “เราอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากยุคของการแข่งขันด้วยเวลา ไปสู่ยุคของการแข่งขันด้วยพลังงานและความคิดสร้างสรรค์ องค์กรที่สามารถดูแลและพัฒนาพลังงานของคนได้ดี จะเป็นผู้ชนะในตลาดอนาคต”
เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI และ Machine Learning จะเข้ามาช่วยในการวิเคราะห์แพทเทิร์นพลังงานของแต่ละคน และแนะนำวิธีการทำงานที่เหมาะสมตามช่วงเวลาที่พลังงานสูงหรือต่ำ
นอกจากนี้ การทำงานแบบ hybrid และ remote work ที่เพิ่มขึ้นหลัง COVID-19 ทำให้การบริหารพลังงานยิ่งมีความสำคัญ เพราะคนทำงานต้องรับผิดชอบในการจัดการสภาพแวดล้อมและพลังงานของตัวเองมากขึ้น
บทสรุป: จากการบริหารเวลาสู่การบริหารชีวิต
การเปลี่ยนจากการมุ่งเน้นการบริหารเวลาไปสู่การบริหารพลังงาน ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนเทคนิคการทำงาน แต่เป็นการเปลี่ยนมุมมองต่อชีวิตและความสำเร็จ
ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ได้วัดจากจำนวนชั่วโมงที่ทำงาน หรือจำนวนงานที่ทำเสร็จ แต่วัดจากคุณภาพของชีวิต ความสุข และพลังงานที่เรามีในการทำสิ่งที่สำคัญ
ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและความเร่งรีบ การหยุดลงมาฟังเสียงของตัวเอง การรู้จักพลังงานของตัวเอง และการเลือกใช้พลังงานอย่างรู้ค่า อาจเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างชีวิตที่มีความหมายและยั่งยืน
การบริหารพลังงานไม่ใช่เรื่องของความเห็นแก่ตัว แต่เป็นการลงทุนในตัวเองเพื่อที่จะสามารถให้สิ่งดีๆ กับโลกได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อเรามีพลังงานที่เต็มเปี่ยม เราจะสามารถช่วยเหลือผู้อื่น รักษาสัมพันธภาพ และสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ได้มากกว่าเมื่อเราหมดไฟ
ดังนั้น แทนที่จะถามว่า “วันนี้ฉันมีเวลาเพียงพอไหม” ลองเปลี่ยนมาถามว่า “วันนี้ฉันมีพลังงานที่จะทำสิ่งที่สำคัญไหม” และเริ่มต้นดูแลพลังงานของตัวเองอย่างใส่ใจ
ในท้ายที่สุด ชีวิตที่ดีไม่ได้มาจากการทำงานหนักเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการทำงานอย่างรู้ค่า มีสติ และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานบวก การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ในวิธีคิดและการปฏิบัติ อาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในคุณภาพชีวิตของเราและคนรอบข้าง