การแข่งขันในตลาดอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยได้เข้าสู่จุดเดือดดาลอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์รายสำคัญของประเทศเปิดเผยข้อมูลอันน่าตกใจจากการวิเคราะห์ตัวเลขผลประกอบการของยักษ์ใหญ่สามตัวในปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่าตลาด Marketplace ไทยได้ขยายตัวก้าวกระโดดจากเดิม 1.8 ล้านล้านบาท ไปสู่ระดับ 2.1 ล้านล้านบาท ในขณะที่ผู้เล่นรายใหม่อย่าง TikTok Shop ได้เข้ามาเขย่าสมดุลการแข่งขันอย่างรุนแรง
นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ผู้เขียนคอลัมน์จาก Pawoot.com ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์อันยาวนานในวงการอีคอมเมิร์ซ กล่าวว่า การเก็บข้อมูลกำไรขาดทุนของบริษัทยักษ์ใหญ่ในปี 2567 ทำให้เขาต้องปรับประเมินตลาดใหม่หมดเลย โดยระบุว่า “ตัวเลขที่ได้เห็นนี้ทำให้ผมต้องกลับมาปรับตัวเลขประเมินของตลาด Marketplace ในไทยใหม่หมดเลย เพราะการเติบโตที่เกิดขึ้นเกินความคาดหมายอย่างมาก”
Shopee ครองแชมป์ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยด้วยมูลค่า 1.6 ล้านล้านบาท
จากการวิเคราะห์ข้อมูลในปี 2567 พบว่า Shopee ยังคงครองความเป็นผู้นำตลาดอีคอมเมิร์ซไทยอย่างเหนียวแน่น ด้วยส่วนแบ่งตลาดที่มีมูลค่าประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 76% ของตลาดทั้งหมด การเติบโตของ Shopee ในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 69.51% ซึ่งสะท้อนถึงการขยายตัวของฐานลูกค้าและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการจับจ่าใช้สอยของผู้บริโภคไทยที่หันมาซื้อของออนไลน์มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ความสำเร็จของ Shopee ไม่ได้มาจากการขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากการสร้างระบบขนส่งของตัวเองคือ Shopee Express ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทถึง 23,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมดจาก Marketplace การที่ Shopee สามารถควบคุมระบบการจัดส่งได้เองทำให้สามารถให้บริการที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าคู่แข่ง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลูกค้าเลือกใช้บริการ
นอกจากนี้ Shopee ยังได้รับประโยชน์จากการลงทุนในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ การแนะนำสินค้าที่ตรงกับความต้องการ และการปรับปรุงระบบการค้นหาให้แม่นยำมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้ Shopee สามารถรักษาฐานผู้ใช้เดิมและดึงดูดผู้ใช้ใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง
Lazada ยืนหยัดในอันดับสองด้วยการเติบโต 31.77%
แม้ว่า Lazada จะเป็นรองในส่วนแบ่งตลาด แต่ยังคงแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งด้วยมูลค่าตลาดที่ประมาณ 6.6 แสนล้านบาท และมีอัตราการเติบโตที่ 31.77% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะในตลาดที่มีการแข่งขันสูง การเติบโตของ Lazada มาจากการปรับกลยุทธ์โฟกัสไปที่การให้บริการแบรนด์ชั้นนำและสินค้าคุณภาพสูง ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งที่เน้นสินค้าราคาถูก
Lazada ได้สร้างระบบขนส่งของตัวเองคือ Lazada Express ที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 14,000 ล้านบาท การมีระบบขนส่งของตัวเองทำให้ Lazada สามารถควบคุมคุณภาพการให้บริการได้ดีขึ้น และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า นอกจากนี้ Lazada ยังมีความแข็งแกร่งในด้านการขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นหมวดสินค้าที่มีมูลค่าสูงและให้กำไรที่ดี
การแข่งขันของ Lazada ในปี 2567 ยังเน้นการพัฒนาระบบ Livestream Shopping และการใช้เทคโนโลยี Augmented Reality เพื่อให้ลูกค้าสามารถทดลองสินค้าแบบเสมือนจริงก่อนตัดสินใจซื้อ สิ่งเหล่านี้ช่วยเพิ่มอัตราการแปลงจากผู้เยี่ยมชมเป็นลูกค้าที่ซื้อจริง และช่วยลดปัญหาการคืนสินค้า
TikTok Shop พลิกโฉมตลาดด้วยการเติบโต 100% ในปีแรก
หากพูดถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดอีคอมเมิร์ซไทยปี 2567 จะต้องยกให้ TikTok Shop ที่เพิ่งเปิดให้บริการในประเทศไทยเป็นปีแรก แต่สามารถสร้างผลงานที่น่าตกใจด้วยยอดขายที่ทะลุถึง 2.8 แสนล้านบาท และมีอัตราการเติบโต 100% ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องปกติสำหรับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น แต่ตัวเลขที่ได้นั้นสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้มาก
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ TikTok Shop มาพร้อมกับการ “เบิร์นเงิน” อย่างหนัก โดยมีการขาดทุนในปีเดียวไปกว่า 3,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่า TikTok กำลังใช้กลยุทธ์การ “ขยายตลาดก่อนหากำไร” เช่นเดียวกับยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรายอื่น ๆ การลงทุนขนาดใหญ่นี้เป็นการเดิมพันระยะยาวเพื่อสร้างฐานผู้ใช้และร้านค้าให้แข็งแกร่ง
จุดแข็งของ TikTok Shop คือการผสานระหว่างการสร้างเนื้อหาและการขายสินค้า ผู้ใช้สามารถดูวิดีโอสั้น ๆ ที่แสดงการใช้งานสินค้าจริง และสามารถซื้อได้ทันทีโดยไม่ต้องออกจากแอป การที่ TikTok มีฐานผู้ใช้เยาวชนและกลุม่คนรุ่นใหม่ที่มีพฤติกรรมการใช้จ่ายแบบ Impulse Buying หรือการซื้อแบบไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า ทำให้ TikTok Shop สามารถสร้างยอดขายได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ TikTok Shop ยังใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้และแนะนำสินค้าที่เหมาะสมในช่วงเวลาที่เหมาะสม การที่ผู้ใช้ใช้เวลานานในการดู TikTok ทำให้แพลตฟอร์มมีข้อมูลมากพอที่จะเข้าใจพฤติกรรมและความชอบของแต่ละคนได้อย่างลึกซึ้ง
การปฏิวัติระบบขนส่งที่เปลี่ยนหน้าตาอีคอมเมิร์ซไทย
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้เล่นใหญ่สามารถครองตลาดได้คือการลงทุนในระบบขนส่งของตัวเอง ทั้ง Shopee Express และ Lazada Express ได้กลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่มากกว่าการเป็นเพียงบริการสนับสนุน การที่แต่ละแพลตฟอร์มสามารถควบคุมการจัดส่งได้เองทำให้สามารถการันตีความรวดเร็วและคุณภาพของบริการ
Shopee Express ที่มีรายได้ 23,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าการจัดส่งสินค้าได้กลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ในตัวเอง การที่ Shopee ลงทุนสร้างโครงข่ายการจัดส่งที่ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพเส้นทางการจัดส่ง ทำให้สามารถส่งของได้ถึงมือลูกค้าเร็วขึ้นและถูกลงกว่าการใช้บริการจัดส่งภายนอก
ในขณะเดียวกัน Lazada Express ที่มีรายได้ 14,000 ล้านบาท ก็แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีระบบขนส่งของตัวเอง การลงทุนในด้านนี้ไม่เพียงแค่ช่วยประหยัดต้นทุน แต่ยังช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า การที่ลูกค้าได้รับสินค้าในสภาพดีและตรงเวลาจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กลับมาซื้อซ้ำ
การที่แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่เหล่านี้สร้างระบบขนส่งของตัวเองยังส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนส่งรายย่อยที่เคยให้บริการในตลาดนี้ ซึ่งต้องปรับตัวหรือหาโอกาสใหม่ในการให้บริการ
ผลกระทบต่อ SMEs ไทยและการปรับตัวเพื่อการอยู่รอด
การที่ตลาดอีคอมเมิร์ซมีการแข่งขันรุนแรงขนาดนี้ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ต้องแข่งขันกับยักษ์ใหญ่ที่มีทุนหนาและเทคโนโลยีที่ทันสมัย การที่ผู้เล่นใหญ่สามารถขายขาดทุนเพื่อเอาส่วนแบ่งตลาดทำให้ SMEs ไม่สามารถแข่งขันในเรื่องราคาได้
นายภาวุธ ชี้ให้เห็นว่า SMEs ไทยต้อง “คิดใหม่ ทำใหม่” อย่างจริงจัง เพราะการทำธุรกิจแบบเดิมจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในยุคที่ทุนและเทคโนโลยีมีบทบาทมาก เขาแนะนำว่า SMEs ควรเน้นการสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง ทำให้ลูกค้ารู้สึกรักและมีความผูกพันกับแบรนด์ เพื่อให้ลูกค้าพร้อมกลับมาซื้อซ้ำด้วยการใช้เครื่องมือ CRM และการสื่อสารที่จริงใจ
การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งเป็นสิ่งที่ยักษ์ใหญ่ไม่สามารถคัดลอกหรือทำลายได้ง่าย เพราะความผูกพันทางอารมณ์ระหว่างลูกค้าและแบรนด์เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นจากประสบการณ์และความไว้วางใจที่สั่งสมมานาน SMEs ที่มีผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์และสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างใกล้ชิดจะมีโอกาสสร้างฐานลูกค้าที่ภักดีได้
นอกจากนี้ SMEs ควรกระจายช่องทางการขาย ไม่อยู่บน Marketplace เจ้าเดียว แต่ควรขยายไปยัง Social Commerce เว็บไซต์ของตัวเอง หรือแม้กระทั่งเชื่อมโลก Offline และ Online ให้ครบวงจร การกระจายความเสี่ยงนี้จะช่วยให้ธุรกิจไม่ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่งมากเกินไป และสามารถสร้างฐานลูกค้าที่มั่นคงได้
กลยุทธ์การเอาชีวิตรอดของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อย
ในสถานการณ์ที่ตลาดถูกครอบงำโดยผู้เล่นใหญ่ที่มีทุนมหาศาล SMEs ต้องใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างเพื่อความอยู่รอด การแข่งขันด้วยราคาไม่ใช่ทางออกที่ดี เพราะจะนำไปสู่การขาดทุนและการปิดกิจการในที่สุด แต่การเน้นคุณค่าและความแตกต่างของสินค้าหรือบริการจะเป็นทางออกที่ยั่งยืนกว่า
การใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาดเป็นอีกสิ่งสำคัญ SMEs ไม่จำเป็นต้องลงทุนในเทคโนโลยีที่แพงและซับซ้อนเหมือนยักษ์ใหญ่ แต่สามารถใช้เครื่องมือที่มีอยู่แล้วในตลาดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เช่น ระบบ CRM ที่ช่วยในการจัดการลูกค้า ระบบ Inventory Management ที่ช่วยควบคุมสต็อกสินค้า หรือเครื่องมือการตลาดดิจิทัลที่ช่วยเข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย
การสร้างเครือข่ายและการร่วมมือกันระหว่าง SMEs ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง การรวมตัวกันของธุรกิจขนาดเล็กหลาย ๆ ราย สามารถสร้างพลังต่อรองที่มากกว่าการทำงานแยกกัน ไม่ว่าจะเป็นการรวมกันซื้อวัตถุดิบเพื่อได้ราคาที่ดีกว่า การแบ่งปันต้นทุนการขนส่ง หรือการร่วมกันทำการตลาด
การเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งและการให้บริการที่เป็นส่วนตัวเป็นจุดแข็งที่ SMEs มีได้มากกว่ายักษ์ใหญ่ การที่ธุรกิจขนาดเล็กสามารถปรับเปลี่ยนสินค้าหรือบริการตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว การให้คำปรึกษาและการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด สิ่งเหล่านี้เป็นคุณค่าที่ยากจะหาได้จากแพลตฟอร์มใหญ่ ๆ
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคไทยในยุคดิจิทัล
การเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ แต่มาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยที่เริ่มยอมรับและไว้วางใจการซื้อของออนไลน์มากขึ้น การที่ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบราคาและคุณภาพสินค้าได้ง่ายขึ้น รวมถึงการได้รับสินค้าถึงหน้าบ้านโดยไม่ต้องเดินทาง ทำให้การซื้อของออนไลน์กลายเป็นทางเลือกหลักของผู้บริโภคมากขึ้น
การเติบโตของ Social Commerce หรือการขายผ่านสื่อสังคมออนไลน์ก็เป็นอีกแนวโน้มสำคัญ ผู้บริโภคยุคใหม่ไม่เพียงแค่ต้องการซื้อของ แต่ยังต้องการความบันเทิงและการมีส่วนร่วมในกระบวนการซื้อขาย การที่ TikTok Shop สามารถสร้างยอดขายได้มากในเวลาสั้นเป็นเพราะตอบโจทย์พฤติกรรมนี้ได้เป็นอย่างดี
การใช้งานบนมือถือได้กลายเป็นหลักในการซื้อของออนไลน์ การที่ผู้บริโภคสามารถซื้อของได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านสมาร์ทโฟน ทำให้การซื้อแบบ Impulse Buying เพิ่มขึ้นมาก ผู้ประกอบการต้องปรับเว็บไซต์และแอปพลิเคชันให้รองรับการใช้งานบนมือถือให้ดีที่สุด
ผู้บริโภคยุคใหม่ยังให้ความสำคัญกับการรีวิวและคำแนะนำจากผู้อื่น การตัดสินใจซื้อมักจะอิงจากคะแนนรีวิวและความคิดเห็นของลูกค้าคนอื่น ๆ ที่เคยซื้อมาแล้ว ทำให้การสร้างความพึงพอใจและการรักษาชื่อเสียงของแบรนด์เป็นสิ่งสำคัญมากขึ้น
ความท้าทายและโอกาสในอนาคตของตลาดอีคอมเมิร์ซไทย
แม้ว่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยจะมีการเติบโตที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ก็มีความท้าทายหลายประการที่ต้องเผชิญ การที่ผู้เล่นใหญ่ยังคงใช้กลยุทธ์การเผาเงินเพื่อแย่งตลาดทำให้ความยั่งยืนของธุรกิจเป็นคำถาม เมื่อใดที่ตลาดจะอิ่มตัวและผู้เล่นเหล่านี้จะต้องหาทางทำกำไรจริง ๆ ราคาสินค้าและค่าบริการอาจปรับตัวสูงขึ้น
ปัญหาสินค้าปลอมและคุณภาพสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานยังเป็นความท้าทายในตลาดออนไลน์ การที่ผู้บริโภคไม่สามารถสัมผัสสินค้าจริงก่อนซื้อทำให้เกิดปัญหาการได้รับสินค้าที่ไม่ตรงกับความคาดหมาย แพลตฟอร์มต่าง ๆ ต้องเพิ่มการควบคุมคุณภาพและการตรวจสอบร้านค้า
ด้านโอกาส การเติบโตของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น Artificial Intelligence, Virtual Reality, และ Augmented Reality จะเปิดโอกาสให้เกิดประสบการณ์การซื้อของออนไลน์ที่ดีขึ้น ผู้บริโภคจะสามารถ “ลองสินค้า” แบบเสมือนจริงได้ก่อนตัดสินใจซื้อ
การเติบโตของเศรษฐกิจชนบทและการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตไปยังพื้นที่ห่างไกลจะเป็นโอกาสในการขยายตลาดอีคอมเมิร์ซไปยังกลุ่มผู้บริโภคที่ยังไม่ได้รับบริการเต็มที่ การที่ผู้บริโภคในชนบทเริ่มมีความเข้าใจและความเชื่อมั่นในการซื้อของออนไลน์มากขึ้นจะเป็นแหล่งการเติบโตใหม่ที่สำคัญ
บทบาทของภาครัฐในการสร้างความเป็นธรรมในตลาด
การที่ตลาดถูกครอบงำโดยผู้เล่นใหญ่จากต่างประเทศที่มีทุนมหาศาลเป็นประเด็นที่ภาครัฐต้องให้ความสำคัญ การสร้างกฎระเบียบที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมและป้องกันการผูกขาดตลาดเป็นสิ่งจำเป็น นโยบายภาษีและการสนับสนุน SMEs ไทยให้สามารถแข่งขันได้ก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณา
การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและการพัฒนาทักษะดิจิทัลของผู้ประกอบการไทยเป็นอีกบทบาทสำคัญของภาครัฐ การจัดหลักสูตรอบรมและการให้คำปรึกษาด้านการทำธุรกิจออนไลน์จะช่วยให้ SMEs ไทยปรับตัวได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์และการขนส่งที่ครอบคลุมทั่วประเทศจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจและเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กสามารถเข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ห่างไกลได้มากขึ้น
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม
การเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในหลายด้าน การที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้หลากหลายมากขึ้นและในราคาที่แข่งขันได้ ทำให้เกิดการกระจายโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำ การเติบโตของอุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์ก็สร้างงานใหม่ ๆ ให้กับคนไทยจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม การที่กำไรส่วนใหญ่ไหลออกไปยังบริษัทแม่ในต่างประเทศเป็นประเด็นที่ต้องกังวล การสร้างมูลค่าเพิ่มและการพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศเพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศจึงเป็นความท้าทายที่สำคัญ
การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมค้าปลีกแบบดั้งเดิมก็เป็นอีกผลกระทบที่ต้องติดตาม ร้านค้าขนาดเล็กและตลาดนัดท้องถิ่นที่เคยเป็นหัวใจของชุมชนอาจต้องปรับตัวหรือเผชิญกับการปิดตัวลง การหาสมดุลระหว่างความทันสมัยและการรักษาวัฒนธรรมการค้าท้องถิ่นจึงเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณา
มุมมองผู้เชี่ยวชาญต่อทิศทางอนาคต
นายภาวุธ มองว่าปี 2568 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงจากการ “เบิร์นให้โต” ไปสู่การ “เบิร์นอย่างมีประสิทธิภาพ” มากขึ้น เพราะตลาดเริ่มอิ่มตัวและทุกฝ่ายเริ่มมองหาความยั่งยืนมากกว่าการโตแบบหวือหวา การแข่งขันจะเปลี่ยนจากการแย่งราคาไปเป็นการแข่งขันด้านบริการและประสบการณ์ผู้ใช้
ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าจะเกิดการควบรวมกิจการและการซื้อกิจการในตลาดนี้มากขึ้น ผู้เล่นรายเล็กที่ไม่สามารถแข่งขันได้อาจถูกซื้อกิจการหรือถูกบีบออกจากตลาด ในขณะที่ผู้เล่นใหญ่จะมีอำนาจต่อรองมากขึ้น
การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น การใช้ AI ในการพยากรณ์ความต้องการของลูกค้า การใช้ Blockchain ในการตรวจสอบความถูกต้องของสินค้า และการใช้ IoT ในการจัดการสต็อกสินค้า จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการแยกชั้นระหว่างผู้ที่สามารถปรับตัวได้และไม่ได้
คำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าสู่ตลาดนี้
สำหรับผู้ที่คิดจะกระโดดเข้ามาเล่นในตลาด Marketplace ต้องรู้ให้ทันเกม ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่แค่เรื่องของการ “ขายของให้ได้” แต่เป็นเรื่องของการบริหารทุน เทคโนโลยี และข้อมูลอย่างชาญฉลาด การมีแผนธุรกิจที่ชัดเจนและการเตรียมทุนสำรองที่เพียงพอเป็นสิ่งจำเป็น
การเลือกตลาดเฉพาะ (Niche Market) ที่มีการแข่งขันน้อยกว่าและมีลูกค้าที่ยินดีจ่ายเงินเพื่อคุณค่าที่แท้จริงอาจเป็นทางออกที่ดีกว่าการไปแข่งในตลาดใหญ่ที่มีการแข่งขันสูง การสร้างความเชี่ยวชาญในสินค้าหรือบริการเฉพาะด้านจะทำให้สามารถสร้างความแตกต่างและมีอำนาจต่อรองได้มากขึ้น
การใช้ข้อมูลในการตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญมาก ผู้ประกอบการต้องเรียนรู้การอ่านและวิเคราะห์ข้อมูลการขาย พฤติกรรมลูกค้า และแนวโน้มตลาด เพื่อใช้ในการปรับปรุงสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง
การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและการให้บริการหลังการขายที่ดีจะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความภักดีของลูกค้า การที่ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการดูแลเป็นพิเศษจะทำให้เขายินดีจ่ายราคาที่สูงกว่าและกลับมาซื้อซ้ำ
บทสรุป: การปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในยุคใหม่
ศึกอีคอมเมิร์ซไทยในปี 2567 ได้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของภูมิทัศน์การค้าขายในประเทศ การที่ตลาดขยายตัวไปสู่ระดับ 2.1 ล้านล้านบาท พร้อมกับการเข้ามาของผู้เล่นใหม่อย่าง TikTok Shop ที่สามารถสร้างผลกระทบได้อย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่าการแข่งขันจะรุนแรงมากขึ้นในอนาคต
สำหรับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs การปรับตัวไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเพื่อความอยู่รอด การเข้าใจว่าเกมการแข่งขันได้เปลี่ยนไปแล้ว และการหาจุดแข็งที่แท้จริงของตนเองเพื่อสร้างความแตกต่างจะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
การที่ประเทศไทยต้องการให้ SMEs ไทยอยู่รอดและเติบโตได้ในระบบนิเวศนี้ จำเป็นต้องมีการสร้างโครงสร้างที่ “แข่งขันได้อย่างเป็นธรรม” ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้ทุกขนาดธุรกิจสามารถเติบโตไปด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน การลงทุนในการพัฒนาทักษะคน การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และการสร้างนวัตกรรมที่เหมาะสมกับบริบทไทยจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมนี้
ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ที่สามารถปรับตัวได้เร็วและมีความยืดหยุ่นจะเป็นผู้ที่อยู่รอดและประสบความสำเร็จ การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าจะเป็นอาวุธสำคัญในการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วนี้