6 กลยุทธ์ฟื้นตัวจากความผิดหวังในที่ทำงาน : วิธีเปลี่ยนพลังงานลบให้กลายเป็นแรงผลักดันสู่ความสำเร็จ

100 ล้าน วัยรุ่นสร้างตัว News ข่าวล่าสุด

ความผิดหวังในที่ทำงานเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ให้เห็นว่า การจัดการอารมณ์และการตอบสนองที่ถูกต้องจะเป็นกุญแจสำคัญในการกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิม

ในโลกการทำงานที่เต็มไปด้วยความท้าทายและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นทุกวัน ความผิดหวังกลายเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนทำงานทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการพลาดตำแหน่งที่ฝันหา การนำเสนองานที่ไม่ผ่านการอนุมัติ หรือรางวัลที่คาดหวังแต่กลับไม่ได้รับ ความผิดหวังเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความรู้สึกเศร้าใจและท้อแท้เท่านั้น แต่ยังสามารถกัดกร่อนพลังงานและความมั่นใจของเราได้อย่างรุนแรง จนกระทั่งกลายเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตในอาชีพ

นักกลยุทธ์และโค้ชผู้บริหารชั้นนำอย่าง David Lancefield และ Dina Denham Smith ได้เสนอแนวทางการจัดการกับความผิดหวังในบทความล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Harvard Business Review โดยเน้นย้ำว่า แทนที่จะติดอยู่กับอารมณ์ลบที่ไม่สร้างสรรค์ เราควรหันมามุ่งเน้นที่สิ่งที่อยู่ในความสามารถของเราที่จะควบคุมได้ ผ่านกลยุทธ์ 6 ข้อที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากผู้บริหารระดับสูงหลายคน

1. การจัดการอารมณ์เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด

ความผิดหวังมักมาพร้อมกับอารมณ์ที่รุนแรงและซับซ้อน ทั้งความโกรธ ความเศร้า ความอับอาย และความวิตกกังวล หากเราไม่สามารถจัดการกับอารมณ์เหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่การตอบสนองที่ไม่เหมาะสมซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและความก้าวหน้าในอาชีพได้มากกว่าความล้มเหลวเดิมเสียอีก

ขั้นตอนแรกในการจัดการอารมณ์คือการยอมรับและระบุความรู้สึกที่เกิดขึ้นให้ชัดเจน การที่เราสามารถเรียกชื่ออารมณ์ได้อย่างชัดเจน เช่น “ผมรู้สึกเศร้า ผิดหวัง และเจ็บปวด” จะช่วยลดความเข้มข้นของอารมณ์และเป็นการเปิดทางให้เราสามารถตอบสนองอย่างสร้างสรรค์ได้มากขึ้น

การพูดคุยกับบุคคลที่เราไว้วางใจและการจดบันทึกความรู้สึกลงในกระดาษก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการระบายอารมณ์ อย่างไรก็ตาม เราต้องระมัดระวังในการเลือกคนที่จะเล่าความรู้สึกด้วย เพราะหากเลือกคุยกับเพื่อนร่วมงานที่ชอบนินทาหรือมีนิสัยเป็นเชิงลบ อาจทำให้เราติดอยู่กับความรู้สึกแย่และไม่สามารถก้าวข้ามไปได้

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้เทคนิคการหายใจเข้าลึกและการทำสมาธิสั้นๆ เพื่อช่วยคลายเครียดและทำให้จิตใจสงบลง การออกกำลังกายก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้ผลดีในการปล่อยความเครียดและช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น

2. การทบทวนความคาดหวังเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง

หลายครั้งความผิดหวังเกิดจากการที่เรามีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเกณฑ์การประเมิน หรือไม่ได้ประเมินสถานการณ์และคู่แข่งอย่างถูกต้อง การทบทวนความคาดหวังของตัวเองอย่างจริงจังจึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการเรียนรู้และการปรับปรุงตัวเองในอนาคต

เราควรลองถามตัวเองว่า ผู้ตัดสินใจต้องการอะไรจริงๆ เราได้ให้หลักฐานและข้อมูลที่พวกเขาต้องการครบถ้วนหรือไม่ การนำเสนอตัวเองมีประสิทธิภาพเพียงใด และใครหรืออะไรที่อยู่ในการแข่งขันด้วย การวิเคราะห์เหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใจภาพรวมได้ชัดเจนขึ้น

กรณีศึกษาที่น่าสนใจคือเรื่องของ Jayne ผู้บริหารระดับสูงที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่ง CEO แต่เธอตระหนักได้ว่าตัวเองมีโอกาสน้อยที่จะได้ตำแหน่งนั้น เพราะเริ่มการณ์รณรงค์และเตรียมตัวช้ากว่าคู่แข่งคนอื่น แต่เธอกลับมองเห็นสถานการณ์นี้เป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ๆ เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาและเธอไม่ได้รับตำแหน่ง เธอจึงไม่รู้สึกประหลาดใจหรือผิดหวังมากเกินไป และสามารถเริ่มต้นบทบาทใหม่ในองค์กรได้อย่างแข็งแกร่งและมั่นใจ

การตั้งความคาดหวังที่เป็นจริงไม่ได้หมายความว่าเราต้องลดทอนความฝันหรือเป้าหมายของตัวเอง แต่เป็นการเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นทุกแบบ และสามารถใช้ประโยชน์จากประสบการณ์นั้นได้อย่างเต็มที่

3. การให้เวลากับตัวเองในการฟื้นตัว

ความผิดหวังที่รุนแรงมักจะสูบพลังงานทางกาย ใจ และอารมณ์ของเราไปอย่างมาก เปรียบเสมือนการที่เราขับรถไปไกลจนน้ำมันใกล้หมด เราจำเป็นต้องหยุดเติมน้ำมันก่อนที่จะเดินทางต่อไป การให้เวลากับตัวเองในการฟื้นตัวจึงไม่ใช่ความฟุ่มเฟือยหรือการตามใจตัวเอง แต่เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่จำเป็นต่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว

กิจกรรมที่ช่วยในการฟื้นตัวมีหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การออกกำลังกายเบาๆ ในตอนเช้า การใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนฝูง การทำงานสร้างสรรค์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน จนถึงการดูหนังตลกหรืออ่านหนังสือที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย สิ่งสำคัญคือต้องเลือกกิจกรรมที่ทำให้เรารู้สึกมีชีวิตชีวาและเติมเต็มพลังงานภายใน

John ผู้บริหารระดับกลางคนหนึ่งได้แชร์ประสบการณ์ว่า หลังจากที่เขาพลาดโอกาสในการได้รับการเลื่อนตำแหน่งที่เขาคาดหวังมานาน เขาตัดสินใจใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการฟื้นตัว โดยใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น รับบทบาทเป็นคณะกรรมการอาสาสมัครที่มหาวิทยาลัยเก่าของเขา และปรับปรุงนิสัยการนอนหลับและการรับประทานอาหารให้ดีขึ้น กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น แต่ยังทำให้เขามีความคิดใสและพร้อมที่จะวางแผนสำหรับอนาคต

การฟื้นตัวที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องใช้เวลาและความอดทน เราไม่สามารถบังคับให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นในทันที แต่การดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอจะค่อยๆ ช่วยให้พลังงานและความมั่นใจกลับคืนมา

4. การสร้างบทเรียนจากความผิดหวัง

แม้ว่าความผิดหวังจะทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด แต่มันก็เป็นโอกาสอันมีค่าในการเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง การที่เราสามารถดึงบทเรียนที่มีประโยชน์ออกมาจากประสบการณ์ที่ไม่ประสบความสำเร็จจะช่วยให้ความผิดหวังนั้นมีความหมายและคุณค่า

วิธีการหนึ่งที่มีประสิทธิภาพคือการติดต่อผู้ตัดสินใจด้วยอีเมลสั้นๆ ในโทนเสียงที่เป็นบวกและสร้างสรรค์ เพื่อขอรับข้อมูลป้อนกลับ เราสามารถถามคำถามเช่น “คุณเห็นจุดแข็งที่สุดของผมในครั้งนี้เป็นอย่างไร?” “คุณเห็นอะไรที่ผมยังขาดหรือไม่เพียงพอ?” และ “คุณมีคำแนะนำอะไรให้ผมสำหรับการพัฒนาตัวเองในอนาคตบ้าง?”

ข้อมูลป้อนกลับเหล่านี้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราอยากได้ยิน แต่เป็นข้อมูลที่มีค่าอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาตัวเอง การที่เราแสดงความกล้าหาญในการขอรับฟังความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมายังแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ใหญ่และความตั้งใจจริงในการเติบโต

นอกจากการขอข้อมูลป้อนกลับจากภายนอกแล้ว เราควรทำการประเมินตัวเองอย่างซื่อสัตย์ด้วย ทบทวนกระบวนการทำงาน วิธีการนำเสนอ และการตัดสินใจต่างๆ ที่เราทำระหว่างทาง หาจุดที่สามารถปรับปรุงได้และวางแผนสำหรับการดำเนินการในครั้งต่อไป

การบันทึกบทเรียนเหล่านี้ลงในสมุดหรือไฟล์คอมพิวเตอร์จะช่วยให้เราสามารถนำไปใช้อ้างอิงได้ในอนาคต และเป็นการแสดงให้เห็นถึงการเติบโตและการพัฒนาของเราเมื่อเวลาผ่านไป

5. การฟื้นฟูความมั่นใจในตัวเอง

ความผิดหวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดหวังที่เกิดขึ้นในที่สาธารณะหรือต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน มักจะทำลายความมั่นใจของเราอย่างรุนแรง เราอาจเริ่มสงสัยในความสามารถของตัวเองหรือรู้สึกว่าไม่มีคุณค่า การฟื้นฟูความมั่นใจจึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการกลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

การเปลี่ยนมุมมองเป็นสิ่งสำคัญ แทนที่จะมองเหตุการณ์เป็นความล้มเหลวสิ้นเชิง เราควรพยายามมองหาโอกาสและบทเรียนที่ซ่อนอยู่ การถามตัวเองว่า “สิ่งนี้จะมีความสำคัญในอีกหนึ่งปีจริงๆ หรือไม่?” จะช่วยให้เราเห็นภาพรวมที่กว้างขึ้นและลดความรู้สึกหนักใจลง

การทบทวนความสำเร็จในอดีตก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเตือนตัวเองถึงความสามารถที่เรามี เราควรจดรายการความสำเร็จ ทั้งใหญ่และเล็ก ที่เราเคยทำได้มาก่อน และนำมาอ่านทบทวนเมื่อใดที่รู้สึกท้อแท้

การสร้างชัยชนะเล็กๆ เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญ เราสามารถเริ่มต้นด้วยการอาสาทำโครงการใหม่ที่น่าสนใจ การแสดงความคิดเห็นในการประชุมอย่างสร้างสรรค์ หรือการช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานในงานที่เขาต้องการความช่วยเหลือ ความสำเร็จเล็กๆ เหล่านี้จะค่อยๆ สร้างความมั่นใจและเตรียมเราให้พร้อมสำหรับความท้าทายที่ใหญ่กว่า

6. การก้าวไปข้างหน้าอย่างมีกลยุทธ์

เมื่อเราผ่านขั้นตอนการจัดการอารมณ์ การเรียนรู้ และการฟื้นตัวแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการก้าวไปข้างหน้าอย่างมีแผนและมีเป้าหมาย การดำเนินการในขั้นตอนนี้ต้องอาศัยความมุ่งมั่น ความอดทน และการวางแผนที่รอบคอบ

การระบุผู้สนับสนุนและพันธมิตรที่จะช่วยสนับสนุนเราในอนาคตเป็นสิ่งสำคัญ เราควรหาคนที่เต็มใจให้คำแนะนำ คนที่สามารถเป็นพี่เลี้ยงได้ และคนที่สามารถเป็นพันธมิตรในการทำงานได้ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลเหล่านี้จะช่วยเปิดโอกาสใหม่ๆ และให้การสนับสนุนที่เราต้องการ

การทำงานอย่างเต็มที่ในโครงการที่สำคัญและการเป็นพลังบวกในองค์กรจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเปิดโอกาสสำหรับการเติบโตในอนาคต Anthony ผู้บริหารระดับกลางได้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของกลยุทธ์นี้ หลังจากที่เขาพลาดโอกาสในการเป็นพาร์ทเนอร์ในบริษัทที่ปรึกษา เขาตัดสินใจขยายเครือข่ายและอาสาทำโครงการข้ามสายงานที่มีความสำคัญสูง เขาแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำงานร่วมกับทีมที่หลากหลายและการสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ภายในเวลาเพียงหกเดือน เขาก็ได้รับการเลื่อนขึ้นเป็นพาร์ทเนอร์ตามที่เขาต้องการ

อย่างไรก็ตาม การก้าวไปข้างหน้าไม่ได้หมายความว่าเราต้องยืนกรานอยู่ในองค์กรเดิมเสมอไป หากสิ่งที่องค์กรต้องการไม่สอดคล้องกับจุดแข็ง ค่านิยม หรือเป้าหมายระยะยาวของเรา การพิจารณาหาทางเลือกใหม่ก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล

Jayne ในกรณีศึกษาที่กล่าวมาแล้วเป็นตัวอย่างที่ดีของการตัดสินใจนี้ หลังจากที่เธอได้วิเคราะห์สถานการณ์และตระหนักว่าเธอจะไม่อยู่ในเส้นทางสำหรับตำแหน่ง CEO ในองค์กรปัจจุบัน เธอจึงตัดสินใจมองหาโอกาสใหม่ที่สอดคล้องกับเป้าหมายและจุดแข็งของเธอมากกว่า การตัดสินใจนี้ไม่ได้เกิดจากความผิดหวังหรือความโกรธ แต่เป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่อิงจากการวิเคราะห์ข้อมูลและการรู้จักตัวเอง

บทสรุป: การเปลี่ยนความผิดหวังให้เป็นแรงผลักดัน

ความผิดหวังในที่ทำงานเป็นประสบการณ์ที่ยากลำบาก แต่ไม่ได้เป็นจุดจบของการเติบโตทางอาชีพ ด้วยการใช้กลยุทธ์ทั้งหกข้อที่กล่าวมา เราสามารถเปลี่ยนพลังงานลบจากความผิดหวังให้กลายเป็นแรงผลักดันสำหรับการพัฒนาตัวเองและความสำเร็จในอนาคตได้

การจัดการอารมณ์ การทบทวนความคาดหวัง การให้เวลาแก่ตัวเองในการฟื้นตัว การเรียนรู้จากประสบการณ์ การฟื้นฟูความมั่นใจ และการก้าวไปข้างหน้าอย่างมีกลยุทธ์ ล้วนเป็นขั้นตอนที่จำเป็นในการสร้างความยืดหยุ่นทางจิตใจและการพัฒนาความสามารถในการรับมือกับความท้าทาย

สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้คือ ความผิดหวังไม่ได้กำหนดคุณค่าหรือศักยภาพของเรา มันเป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่งในชีวิตการทำงานที่ให้โอกาสเราได้เรียนรู้และเติบโต ผู้ที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวมักเป็นคนที่สามารถเปลี่ยนอุปสรรคให้เป็นโอกาส และใช้ความผิดหวังเป็นพลังในการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง

ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ความสามารถในการจัดการกับความผิดหวังและการฟื้นตัวจากความล้มเหลวกลายเป็นทักษะที่มีค่ายิ่งกว่าความสามารถทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว ผู้ที่สามารถฝ่าฟันความยากลำบากและกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิมจะเป็นผู้ที่ได้เปรียบในการแข่งขันและมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า

ดังนั้น เมื่อคุณเผชิญกับความผิดหวังครั้งต่อไป จงจำไว้ว่านี่ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้และการเติบโตใหม่ การเลือกที่จะมองความผิดหวังเป็นโอกาสและใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมในการรับมือจะช่วยให้คุณสามารถเปลี่ยนประสบการณ์ที่เจ็บปวดให้กลายเป็นฐานสำหรับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าในอนาคต