หยุดทำทุกอย่างเอง เรียนรู้ศิลปะการสร้างระบบธุรกิจที่แข็งแกร่งจาก CEO ผู้ประสบความสำเร็จ

100 ล้าน วัยรุ่นสร้างตัว News ข่าวล่าสุด

ผู้ประกอบการยุคใหม่ต้องเลิกเป็น “หัวหน้าทุกแผนก” เริ่มเป็น “ผู้นำองค์กร” ที่แท้จริง

ในโลกธุรกิจยุคปัจจุบัน หลายๆ ผู้ประกอบการมักติดอยู่ในกับดักของการ “ทำทุกอย่างด้วยตนเอง” โดยเชื่อมั่นว่าการเป็นเจ้าของธุรกิจหมายถึงการต้องควบคุมทุกด้านของบริษัท ตั้งแต่การขาย การตลาด ไปจนถึงการจัดการทรัพยากรบุคคล แต่ความเชื่อนี้กลับกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการเติบโตของธุรกิจ และอาจนำไปสู่ความล้มเหลวในที่สุด

Clate Mask ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท Keap ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการตลาดอัตโนมัติสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและกลาง ได้ให้ความเห็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับปัญหานี้ ซึ่งเขามองว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ธุรกิจหลายแห่งไม่สามารถก้าวข้ามจุดคับขันได้

ความเชื่อผิดๆ ของผู้ประกอบการ

การศึกษาพฤติกรรมของผู้ประกอบการในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักมีความเชื่อที่ผิดพลาดว่า การเป็นเจ้าของธุรกิจหมายถึงการต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านที่ตนเองถนัดหรือไม่ถนัดก็ตาม ความคิดนี้มักเกิดจากความกลัวการสูญเสียการควบคุม หรือความกังวลเรื่องต้นทุนการจ้างงาน

Mask ชี้ให้เห็นว่า “ผู้ประกอบการหลายคนมักคิดว่าการจ้างพนักงานเฉพาะด้านเป็นการเพิ่มต้นทุนที่ไม่จำเป็น เพราะเชื่อว่าตนเองสามารถทำงานนั้นได้” อย่างไรก็ตาม ความคิดนี้กลับเป็นดาบสองคม ที่อาจทำให้ธุรกิจเสียโอกาสในการเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ

การที่ผู้ประกอบการพยายามควบคุมทุกด้านของธุรกิจ ไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดความเหนื่อยล้าและความเครียด แต่ยังทำให้ขาดการมุ่งเน้นในด้านที่สำคัญที่สุด คือการวางแผนเชิงกลยุทธ์และการกำหนดทิศทางขององค์กร

บทบาทที่แท้จริงของผู้นำธุรกิจ

ตามมุมมองของ Mask หน้าที่หลักของเจ้าของธุรกิจไม่ใช่การทำงานในทุกแผนก แต่เป็นการมองภาพรวมขององค์กรและการกำหนดทิศทางของบริษัท เขาเปรียบเทียบว่า “หากเปรียบเทียบธุรกิจกับร่างกายของมนุษย์ ขาทั้งสองข้างจะไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้ หากสมองไม่ได้ทำหน้าที่สั่งการ”

การเปรียบเทียบนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการมีผู้นำที่คอยกำหนดทิศทาง วางแผนกลยุทธ์ และตัดสินใจในประเด็นสำคัญๆ แทนที่จะไปจมอยู่กับงานปฏิบัติการในแต่ละแผนก

ผู้นำที่เข้าใจบทบาทของตนเองจะรู้ว่า คุณค่าที่แท้จริงของพวกเขาอยู่ที่การสร้างวิสัยทัศน์ การสร้างวัฒนธรรมองค์กร และการสร้างระบบที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเจ้าของเพียงคนเดียว

กลยุทธ์การสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง

ในบทความ “หยุดสวมหมวกทั้งหมดและทำสิ่งนี้แทน” (Stop Wearing All the Hats and Do This Instead) Mask ได้เสนอแนวทางที่ผู้ประกอบการควรใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจของตนให้เติบโตอย่างยั่งยืน

กลยุทธ์แรกที่เขาเสนอคือ การจ้างคนเพื่อปิดรอยรั่วของตัวเอง ซึ่งไม่ได้หมายถึงการจ้างคนมาแทนที่ตนเอง แต่เป็นการจ้างคนที่มีจุดแข็งในด้านที่ตนเองมีจุดอ่อน

“สิ่งสำคัญในการจ้างคนมาทำงาน ไม่ได้จ้างเพื่อให้พวกเขามาแทนที่ แต่จ้างคนให้มาทำงานในสิ่งที่ตัวคุณเองทำไม่ได้ จ้างคนที่มีจุดแข็งแตกต่างจากตัวคุณเอง” Mask อธิบาย

การจ้างงานแบบนี้จะช่วยให้ธุรกิจมีความสมบูรณ์มากขึ้น โดยแต่ละคนจะทำงานในสิ่งที่ตนเองเก่งที่สุด ซึ่งจะส่งผลให้คุณภาพของงานโดยรวมดีขึ้น และประสิทธิภาพขององค์กรเพิ่มสูงขึ้น

การวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของตนเอง

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่พบบ่อยในหมู่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่คือ การที่ยังไม่สามารถระบุจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเองได้อย่างชัดเจน สิ่งนี้ต้องใช้เวลาในการสังเกตและวิเคราะห์ตนเอง

Mask แนะนำให้ผู้ประกอบการลองมองดูว่า ในมุมมองของการทำธุรกิจ ตนเองสามารถทำสิ่งใดได้ดี เช่น การวางแผนเชิงกลยุทธ์ การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า การควบคุมการผลิต หรือการจัดการทรัพยากรบุคคล

ไม่เพียงแต่การมองหาสิ่งที่ตนเองทำได้ดี แต่ยังต้องสามารถระบุจุดอ่อนด้วย ว่าเรื่องใดที่ตนเองยังทำไม่ได้ หรือไม่สามารถแก้ปัญหาได้หากเกิดสถานการณ์นั้นขึ้น เช่น บางคนอาจจัดการลูกค้าที่โกรธไม่ได้ บางคนอาจแก้ปัญหาเรื่องการผลิตที่ล่าช้าไม่ทัน

สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การแยกแยะระหว่าง “สิ่งที่ชอบทำ” กับ “สิ่งที่ทำได้ดี” เพราะบางครั้งสองสิ่งนี้อาจไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การประเมินตนเองอย่างตรงไปตรงมาจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจ

ศิลปะการบริหารทีมงาน

เมื่อจ้างคนที่เหมาะสมมาทำงานแล้ว ขั้นตอนถัดไปที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การปล่อยให้คนเก่งทำงานของตัวเอง โดยที่เจ้าของธุรกิจมีหน้าที่เป็นผู้สนับสนุน

Mask เน้นย้ำว่า ในฐานะเจ้าของธุรกิจ ไม่ควรเป็นคนแรกที่แสดงความคิดเห็นในทุกเรื่อง เพราะนั่นอาจทำให้งานเบี่ยงเบนไปจากทิศทางที่ถูกต้อง สิ่งสำคัญคือการยอมรับว่า งานนั้นอยู่ในมือของผู้เชี่ยวชาญแล้ว

หน้าที่ของเจ้าของธุรกิจไม่ใช่ “การควบคุม” แต่เป็น “การบริหาร” ความแตกต่างนี้มีความสำคัญอย่างมาก การควบคุมจะทำให้พนักงานรู้สึกถูกจำกัด และไม่สามารถแสดงศักยภาพได้เต็มที่ ในขณะที่การบริหารจะเปิดโอกาสให้ทีมงานสามารถทำงานได้อย่างสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ

การมองภาพรวมและการสนับสนุนทีม

การเป็นผู้นำที่ดีต้อง “ถอยหลังออกมา 1 ก้าวและมองภาพรวมทั้งหมดขององค์กร” เมื่อเห็นว่าขาดเหลืออะไร ผู้นำต้องเป็นคนที่คอยสนับสนุนทีมให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

การสนับสนุนนี้อาจมาในรูปแบบต่างๆ เช่น การจัดหาทรัพยากรที่จำเป็น การให้คำปรึกษาเมื่อทีมงานต้องการ การกำจัดอุปสรรคที่ขัดขวางการทำงาน หรือการสร้างแรงบันดาลใจให้กับทีม

ผู้นำที่เข้าใจบทบาทนี้จะไม่ไปแทรกแซงการทำงานของทีมโดยไม่จำเป็น แต่จะคอยให้การสนับสนุนที่เหมาะสม และเข้าไปช่วยเหลือเมื่อทีมต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง

อันตรายของการทำทุกอย่างเอง

Mask เตือนว่า การที่เจ้าของธุรกิจพยายามใส่หมวกหลายใบซ้อนกัน แม้ว่าจะมีความสามารถและทักษะที่ทำได้ทุกอย่างก็ตาม แต่จะไม่ช่วยให้บริษัทเติบโตได้ เพราะการเติบโตของธุรกิจไม่ได้มาจากเพียงแค่คนคนเดียว

หากยังคงทำทุกอย่างเอง สิ่งที่ตามมาไม่ใช่แค่การที่ธุรกิจย่ำอยู่กับที่ แต่ยังรวมถึงความเหนื่อยล้าที่ไม่คุ้มค่ากับการลงแรง ซึ่งในระยะยาวอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ประกอบการ และประสิทธิภาพในการทำงาน

การทำทุกอย่างเองยังทำให้เกิดการพึ่งพาตัวบุคคลมากเกินไป (Key Person Risk) หากเจ้าของธุรกิจเกิดอุบัติเหตุหรือไม่สามารถทำงานได้ ธุรกิจจะหยุดชะงักทันที เพราะไม่มีระบบหรือคนอื่นที่สามารถทำงานแทนได้

การสร้างระบบที่ยั่งยืน

แทนที่จะทำทุกอย่างเอง ผู้ประกอบการควรมุ่งเน้นไปที่การสร้างระบบที่สามารถดำเนินงานได้โดยไม่ต้องพึ่งพาตนเองเพียงคนเดียว ระบบนี้ประกอบด้วยหลายองค์ประกอบ เช่น กระบวนการทำงาน คู่มือการปฏิบัติงาน การฝึกอบรมพนักงาน และระบบการติดตาม

การสร้างระบบที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง และลดการพึ่งพาบุคคลใดบุคคลหนึ่ง พนักงานจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าเจ้าของธุรกิจจะไม่อยู่ประจำที่ทำงาน

ระบบที่ดียังช่วยในการรักษามาตรฐานคุณภาพของสินค้าหรือบริการ เพราะทุกคนจะปฏิบัติตามกระบวนการที่กำหนดไว้ ทำให้ลูกค้าได้รับสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ

การเตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโต

การเปลี่ยนแปลงจากการทำทุกอย่างเองไปสู่การสร้างระบบ ต้องใช้เวลาและความอดทน ผู้ประกอบการต้องยอมรับว่า ในช่วงแรกอาจมีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการจ้างพนักงาน และอาจมีความผิดพลาดบ้างในระหว่างที่ทีมงานกำลังเรียนรู้

อย่างไรก็ตาม การลงทุนนี้จะให้ผลตอบแทนในระยะยาว เมื่อธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องข้อจำกัดด้านทรัพยากรบุคคล

การเตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโตยังรวมถึงการพัฒนาทักษะของผู้นำ ในด้านการบริหารจัดการ การสื่อสาร และการสร้างแรงบันดาลใจ เพราะเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้น บทบาทของผู้นำจะเปลี่ยนไปจากผู้ปฏิบัติงานเป็นผู้ให้การกำกับและสนับสนุน

บทเรียนจากผู้ประสบความสำเร็จ

ประสบการณ์ของ Clate Mask และ Keap เป็นตัวอย่างที่ดีของการเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจที่พึ่งพาผู้ก่อตั้งไปสู่องค์กรที่มีระบบและทีมงานที่แข็งแกร่ง Keap ปัจจุบันเป็นบริษัทที่มีพนักงานหลายร้อยคน และให้บริการลูกค้าหลายหมื่นรายทั่วโลก

ความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลมาจากการวางรากฐานที่แข็งแกร่ง การสร้างทีมงานที่มีคุณภาพ และการพัฒนาระบบที่สามารถรองรับการเติบโตได้

บทเรียนสำคัญจากประสบการณ์นี้คือ การที่ผู้นำต้องมีความกล้าหาญในการปล่อยวาง และเชื่อใจในความสามารถของทีมงาน การเปลี่ยนแปลงนี้อาจท้าทายในช่วงแรก แต่จะนำไปสู่อิสรภาพและความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่า

แนวทางการนำไปปฏิบัติ

สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการนำหลักการนี้ไปใช้ สามารถเริ่มต้นได้จากการประเมินตนเองอย่างจริงจัง โดยแบ่งงานที่ตนเองทำอยู่ออกเป็นสองกลุ่ม คือ งานที่ตนเองทำได้ดีและสำคัญต่อทิศทางธุรกิจ กับงานที่สามารถมอบหมายให้คนอื่นทำได้

ขั้นตอนถัดไปคือการหาคนที่เหมาะสมมาร่วมงาน โดยมุ่งเน้นที่ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในด้านที่ต้องการ มากกว่าการมองหาคนที่ถูกที่สุด

เมื่อมีทีมงานแล้ว สิ่งสำคัญคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงาน มีการสื่อสารที่ชัดเจน และระบบการติดตามผลงานที่เหมาะสม

อนาคตของการบริหารธุรกิจ

แนวโน้มในอนาคตชี้ให้เห็นว่า ธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จคือธุรกิจที่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว มีทีมงานที่หลากหลายและมีความเชี่ยวชาญ และมีระบบที่ยืดหยุ่น

ผู้นำธุรกิจยุคใหม่จะต้องเรียนรู้ที่จะเป็น “ผู้ให้อำนาจ” (Empowerment Leader) มากกว่าการเป็น “ผู้ควบคุม” (Control Leader) โดยมุ่งเน้นการสร้างโอกาสให้ทีมงานได้แสดงศักยภาพ และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้และพัฒนา

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน แต่ยังทำให้ผู้นำมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะไม่ต้องแบกรับภาระทุกอย่างไว้บนบ่าเพียงคนเดียว

สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังเผชิญกับความท้าทายในการขยายธุรกิจ การนำหลักการของ Clate Mask ไปใช้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจก้าวข้ามข้อจำกัดและเติบโตสู่ระดับถัดไป

ในท้ายที่สุด ความสำเร็จของธุรกิจไม่ได้วัดจากความสามารถของเจ้าของคนเดียว แต่วัดจากความแข็งแกร่งของระบบและทีมงานที่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเรียนรู้ที่จะปล่อยวางและเชื่อใจในคนอื่น จึงเป็นทักษะสำคัญที่ผู้นำธุรกิจยุคใหม่ต้องมี