ผู้ประกอบการท่องเที่ยวแห่ชิงเค้ก “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” 1.7 พันล้านบาท โรงแรมเปิดศึกใหญ่ดึงยอดเข้าพัก

100 ล้าน วัยรุ่นสร้างตัว News ข่าวล่าสุด

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ในปี 2568 เมื่อตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดจีนที่เป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” งบประมาณ 1,760 ล้านบาท จึงกลายเป็นความหวังเดียวของผู้ประกอบการในขณะนี้

คณะรัฐมนตรีให้ไฟเขียวโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยว

คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินแผนการกระตุ้นการท่องเที่ยวผ่านโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ภายใต้วงเงินงบประมาณ 1,760 ล้านบาท รวม 500,000 สิทธิ โดยได้เปิดให้ผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมโครงการลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา

โครงการดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก ครอบคลุมทั้งกลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยว ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวอื่นๆ ทั่วประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการและความคาดหวังของภาคธุรกิจที่มีต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ

ความหวังเดียวในยามวิกฤติของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ถือเป็นโครงการที่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวเฝ้ารอคอยมานานตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากสถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยในปัจจุบันกำลังประสบปัญหาสำคัญหลายประการ

แนวโน้มของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะตลาดจีนซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศไทย ยังคงชะลอตัวต่อเนื่องในอัตราเฉลี่ยประมาณ 40-50% ทุกเดือน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สถานการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อรายได้ของผู้ประกอบการทุกระดับ ตั้งแต่โรงแรมขนาดใหญ่ไปจนถึงร้านอาหารและแหล่งท่องเที่ยวเล็กๆ

ด้วยเหตุนี้ การท่องเที่ยวภายในประเทศจึงกลายเป็นความหวังเดียวในการช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนเช่นนี้ โครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะสั้น

ข้อจำกัดด้านงบประมาณที่น่าเสียดาย

แม้โครงการจะได้รับการต้อนรับอย่างดี แต่ประเด็นที่น่าเสียดายคืองบประมาณของโครงการนี้ถูกตัดลดลงไปอย่างมากจากแผนเดิมที่มีมากกว่า 3,000 ล้านบาท เหลือเพียง 1,760 ล้านบาท ทำให้ได้รับสิทธิเพียงแค่ 500,000 สิทธิ ซึ่งถือว่าน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับสถานการณ์ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ประสบปัญหาอย่างหนักในขณะนี้

การลดงบประมาณดังกล่าวส่งผลให้การกระจายผลประโยชน์อาจไม่ครอบคลุมเท่าที่ควร และอาจไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวได้อย่างเพียงพอ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในวงการยังคงมองว่าการมีโครงการดีกว่าการไม่มีอะไรเลย

ระบบลงทะเบียนเปิด 1 กรกฎาคมนี้

ระบบจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนจองสิทธิได้ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป โดยคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนคนไทยทั่วไป เนื่องจากในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน คนไทยเองก็มีเงินในกระเป๋าน้อยลง มีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น และพร้อมที่จะตัดงบประมาณสำหรับการท่องเที่ยวเช่นกัน

การออกมาตรการช่วยเหลือในรูปแบบการให้ส่วนลด 50% นี้ น่าจะสามารถกระตุ้นให้คนไทยออกมาเดินทางท่องเที่ยวกันได้มากยิ่งขึ้น และช่วยสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้ประกอบการให้ความเห็น: งบน้อยแต่ดีกว่าไม่มี

ดร.อดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) เปิดเผยว่า จากเสียงของผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกส่วนใหญ่ต่างคาดหวังว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยให้มีลูกค้าเข้าใช้บริการเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันคนไทยมีกำลังซื้อที่ลดลง เมื่อมีโครงการที่ช่วยลดต้นทุนการเดินทางท่องเที่ยว จึงเชื่อว่าจะทำให้คนไทยหันมาเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ด้วยงบประมาณสนับสนุนโครงการรอบนี้ค่อนข้างจำกัด เมื่อเทียบกับครั้งก่อนหน้า อาจทำให้ผู้ประกอบการแต่ละรายได้รับอานิสงส์ไม่มากนัก แต่ยังคงดีกว่าการที่รัฐบาลไม่ได้ดำเนินการใดๆ เลย

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) มีความเห็นสอดคล้องกันว่า โครงการดังกล่าวไม่น่าจะเกิดผลกระทบมากนัก เนื่องจากรอบนี้มีวงเงินงบประมาณสนับสนุนไม่มากเมื่อเทียบกับครั้งก่อนๆ อย่างไรก็ตาม ยังคงมองว่าจะเป็นโครงการที่ช่วยให้ผู้ประกอบการได้รับอานิสงส์บ้าง แม้จะไม่มากนักแต่ก็ดีกว่าไม่ได้ทำ

โรงแรมในเครือดุสิตธานีเองก็ได้เข้าร่วมโครงการเช่นกัน เพราะเป็นโครงการที่นักท่องเที่ยวคนไทยเฝ้ารอคอยมานาน และเป็นการสร้างโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ ที่อาจจะไม่เคยใช้บริการมาก่อน

ปัจจัยบวกช่วยหนุนในช่วงโลว์ซีซั่น

นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) มองว่า โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ที่เพิ่งได้รับการอนุมัตินั้น ถือเป็นมาตรการกระตุ้นที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้ประกอบการ เนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซั่นที่นักท่องเที่ยวลดลงตามธรรมชาติ และการกระจายสิทธิ 500,000 สิทธิ ไปยังเมืองหลักและเมืองรองจะช่วยสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง

การแบ่งโควตาระหว่างเมืองหลักกับเมืองรองในครั้งนี้ถือเป็นการปรับปรุงจากรอบก่อนๆ ที่เป็นระบบใครมาก่อนได้ก่อน ทำให้การกระจายผลประโยชน์เป็นไปอย่างเป็นธรรมมากขึ้น และช่วยให้พื้นที่ต่างๆ ได้รับโอกาสในการรับนักท่องเที่ยวอย่างทั่วถึง

ในส่วนของโรงแรมที่เป็นสมาชิกสมาคมประมาณ 1,100 แห่งนั้น มีแนวโน้มว่าจะเข้าร่วมโครงการเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะโรงแรมที่อยู่นอกพื้นที่กรุงเทพมหานคร จะเข้าร่วมโครงการนี้เกือบทั้งหมด หากได้รับข้อมูลข่าวสารครบถ้วนและมีความพร้อม เพราะทุกคนได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การท่องเที่ยวที่ซบเซามานานแล้ว

ข้อกังวลเรื่องความเพียงพอของงบประมาณ

ผู้ประกอบการยังมีความกังวลเรื่องงบประมาณที่อาจไม่เพียงพอกับความต้องการของนักท่องเที่ยว หากสามารถเพิ่มสิทธิหรือวงเงินได้ จะเป็นประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่เป็นโลว์ซีซั่นซึ่งต้องการการกระตุ้นเป็นพิเศษ

ความกังวลนี้เกิดขึ้นจากประสบการณ์ในอดีตที่โครงการคล้ายๆ กันมักจะมีผู้สนใจมากกว่าจำนวนสิทธิที่มี ทำให้เกิดการแข่งขันสูงในการจองสิทธิ และอาจส่งผลให้ผู้ที่ต้องการใช้บริการจริงๆ ไม่ได้รับโอกาส

สถานการณ์อัตราการเข้าพักโรงแรมที่น่าเป็นห่วง

ข้อมูลจากการสำรวจดัชนีเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่พัก (Hotel Business Operator Sentiment Index) ซึ่งสมาคมโรงแรมไทยทำร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า ภาพรวมธุรกิจโรงแรมที่พักในช่วงที่ผ่านมาของปีนี้ มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย (Occupancy Rate) ลดลงอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

โดยอัตราการเข้าพักเดือนมกราคมเฉลี่ยอยู่ที่ 74% ซึ่งทรงตัวจากเดือนธันวาคม 2567 เดือนกุมภาพันธ์ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม 2568 มาอยู่ที่ระดับ 77% แต่หลังจากนั้นเริ่มมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง

เดือนมีนาคมอัตราการเข้าพักเฉลี่ยลดลงเหลือ 65% เดือนเมษายน 63% เดือนพฤษภาคม 56% และคาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 52% ในเดือนมิถุนายนนี้ เนื่องจากเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งทำให้รายได้ของธุรกิจโรงแรมในไตรมาส 2/2568 มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ความคาดหวังต่อผลกระทบของโครงการ

นายเทียนประสิทธิ์ระบุว่า คาดหวังว่าโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งจะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยให้ภาพรวมธุรกิจโรงแรมในช่วงเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม 2568 หรือในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ปรับตัวดีขึ้นประมาณ 3-5% ตลอดช่วงเวลา 4 เดือนในการดำเนินโครงการ โดยเฉพาะใน 5 จังหวัดหลักของประเทศ

การคาดการณ์นี้อิงจากประสบการณ์จากโครงการที่คล้ายกันในอดีต และการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวไทยที่มีแนวโน้มจะตอบสนองต่อการส่งเสริมการขายในรูปแบบส่วนลดได้ดี

ข้อมูลตลาดจากแพลตฟอร์มจองโรงแรม

ข้อมูลล่าสุดจาก SiteMinder แพลตฟอร์มจองโรงแรมระบุว่า ยอดจองโรงแรมประเทศไทยล่วงหน้าในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2568 ลดลงถึง 4.72% โดยอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อวัน (ADR) ลดลง 2.32% จาก 197.95 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อปีที่แล้ว เหลือ 193.35 ดอลลาร์สหรัฐ

โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครที่เห็นการลดลงอย่างชัดเจนถึง 6.79% จาก 113.31 ดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา เหลือ 105.62 ดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ ซึ่งสวนทางกับมาเลเซีย ซึ่งเป็นเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคที่ ADR เพิ่มขึ้น 8.28% มาอยู่ที่ 192.44 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่อุตสาหกรรมโรงแรมไทยกำลังเผชิญ ไม่เพียงแต่จำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง แต่ยังรวมถึงการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น และการปรับตัวของพฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวหลังจากสถานการณ์โควิด-19

ความท้าทายของผู้ประกอบการรายเล็ก

แหล่งข่าวจากโรงแรมลิปดา รีสอร์ท อ่าวมะนาว จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า ยอมรับว่าโครงการดังกล่าวได้รับความสนใจและมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยว นับตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นหลังจากที่ประเทศคลายมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งแม้ในช่วงหลังๆ ความสนใจจะลดลงไปบ้าง แต่ยังคงมีนักท่องเที่ยวสอบถามถึงสิทธิอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม โรงแรมแห่งนี้ไม่ได้เข้าร่วมโครงการล่าสุด เพราะระบบลงทะเบียนเข้าได้ยากมาก และค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อน ขณะที่ลูกค้าเริ่มกลับมาเที่ยวมากขึ้น บางคนไม่ได้ถามถึงโครงการเลย และหากทางโรงแรมมีโปรโมชั่นที่ดี เช่น ซื้อหลายห้องแล้วแถม หรือให้ราคาที่คุ้มค่า ลูกค้าจะตัดสินใจจองโปรโมชั่นของโรงแรมแทน

ปัญหาระบบลงทะเบียนที่ไม่เสถียร

ผู้ประกอบการจากเชียงราย เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน ซึ่งเปิดกิจการร้านอาหารและแหล่งท่องเที่ยว กล่าวว่า โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ยังคงมีบทบาทในการกระตุ้นกำลังซื้อ โดยเฉพาะในช่วงโลว์ซีซั่น แต่กลับติดขัดที่ระบบลงทะเบียนไม่พร้อมใช้งาน ทำให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมได้ยาก

ปัญหาระบบที่ไม่เสถียรนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในหลายโครงการที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กที่ไม่มีทีมงาน IT ที่เข้มแข็งประสบปัญหาในการเข้าถึงระบบ และอาจพลาดโอกาสในการเข้าร่วมโครงการ

ข้อเสนอแนะจากผู้ประกอบการ

ผู้ประกอบการเสนอว่า รัฐบาลควรเริ่มโครงการแต่เนิ่นๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เตรียมตัว หรือขยายระยะเวลาให้นานขึ้น เพราะเวลาเพียงแค่ 2-3 เดือนทำให้การเตรียมการไม่เพียงพอ และควรเปิดให้ผู้ประกอบการลงทะเบียนได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยและธุรกิจทัวร์

การขยายระยะเวลาจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการตลาดและเตรียมบุคลากรได้อย่างเหมาะสม รวมถึงการเตรียมสินค้าและบริการที่มีคุณภาพเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

ผลกระทบของฤดูกาลต่อภาคตะวันออก

แหล่งข่าวจากโรงแรมเกาะกูดคาบาน่า รีสอร์ท จังหวัดตราด เปิดเผยว่า แม้จะเห็นว่าโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งเป็นแนวทางที่ดี แต่ในพื้นที่ที่เข้าสู่ฤดูฝนอย่างภาคตะวันออก ซึ่งปกตินักท่องเที่ยวจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด จะทำให้ผลลัพธ์ของโครงการไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่ได้เต็มประสิทธิภาพ

ลูกค้าส่วนใหญ่จะมาเที่ยวทะเลในช่วงฤดูร้อน ตั้งแต่พฤศจิกายนจนถึงพฤษภาคมเป็นหลัก พอเข้าฤดูฝนลูกค้าจะลดลงอย่างมาก ต่อให้มีโครงการไทยเที่ยวไทย หรือเที่ยวไทยคนละครึ่งก็อาจช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการวางเวลาให้เหมาะสมกับฤดูกาลท่องเที่ยวของแต่ละภูมิภาค เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดจากงบประมาณที่จำกัด

ความยุ่งยากในการสมัครเข้าร่วม

การสมัครเข้าร่วมโครงการยังมีความยุ่งยากสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย ระบบยังไม่เอื้อต่อการใช้งานของผู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญทางเทคนิค เช่น การที่ต้องส่งไฟล์ PDF จากบัญชีธนาคารกรุงไทยเป็นต้น

ความซับซ้อนของระบบนี้อาจเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กไม่สามารถเข้าถึงโครงการได้ ซึ่งขัดแย้งกับเป้าหมายของโครงการที่ต้องการกระจายผลประโยชน์ให้ทั่วถึง

ความต้องการให้เพิ่มรอบลงทะเบียน

แหล่งข่าวจากโรงแรม Pan Ville Resort จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นรีสอร์ตริมทะเลสาบบรรยากาศธรรมชาติใกล้กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ลูกค้าให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ทันในรอบล่าสุด เนื่องจากเพิ่งเปิดให้บริการ

มีลูกค้าหลายคนสอบถามเรื่องโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง เพราะสิทธิส่วนลด 50% เป็นแรงจูงใจที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้จริง ดังนั้น จึงต้องการให้รัฐบาลพิจารณาเปิดรอบลงทะเบียนเพิ่มเติม หรือกันโควตาสำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ เพื่อให้โครงการกระจายผลประโยชน์ได้กว้างขวางมากขึ้น

โครงการสนับสนุนชาร์เตอร์ไฟลต์ที่รอคอย

ดร.อดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งแล้ว ภาคการท่องเที่ยวของไทยยังคาดหวังให้รัฐบาลเร่งเดินหน้าโครงการสนับสนุนชาร์เตอร์ไฟลต์ภายใต้งบประมาณ 750 ล้านบาท โดยเร็วเช่นกัน หรืออย่างช้าคือกลางเดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไป

เหตุผลสำคัญคือจะเป็นช่วงวันหยุดปิดเทอมซัมเมอร์ของนักเรียนในจีน ซึ่งเป็นโอกาสทองในการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาเดินทางกันอีกครั้ง และจะช่วยส่งโมเมนตัมให้นักท่องเที่ยวกลับมาได้มากขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดชาติจีน หรือโกลเด้นวีก ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

แผนงานครอบคลุมของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า นอกจากโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” แล้ว กระทรวงยังมีอีกหลายโครงการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเรียบร้อยแล้วรวมกว่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมทุกมิติของการท่องเที่ยว

โครงการสำคัญเหล่านี้ ได้แก่ การสนับสนุนชาร์เตอร์ไฟลต์ 750 ล้านบาท การสนับสนุนแพลตฟอร์มจองออนไลน์ OTA 800 ล้านบาท การพัฒนาเส้นทางเชื่อมเมืองหลัก-เมืองรอง 3,000 ล้านบาท การกระตุ้นตลาดต่างประเทศ Thailand Summer Blast 750 ล้านบาท การสร้างภาพลักษณ์ “Trusted Thailand” 300 ล้านบาท และโครงการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว 1,100 ล้านบาท

การจัดสรรงบประมาณที่หลากหลายนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ครอบคลุมของรัฐบาลในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นที่การกระตุ้นความต้องการในระยะสั้น แต่ยังรวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาว

เป้าหมายและผลกระทบทางเศรษฐกิจที่คาดหวัง

สำหรับโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง คาดว่าจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวกว่า 2.67 ล้านคน/ครั้ง ในช่วงเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม 2568 สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวม 35,033 ล้านบาท เกิดการจ้างงานกว่า 40,669 ตำแหน่ง และสร้างรายได้จากภาษีให้รัฐกว่า 1,863 ล้านบาท

เป้าหมายเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่คาดหวังจากการลงทุนงบประมาณ 1,760 ล้านบาท ซึ่งหากเป็นไปตามแผน จะสร้างผลตอบแทนต่อการลงทุนของภาครัฐที่น่าพอใจ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

บทสรุปและแนวโน้มการท่องเที่ยวไทย

โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ถึงแม้จะมีงบประมาณที่จำกัดเมื่อเทียบกับความต้องการที่แท้จริงของตลาด แต่ยังคงเป็นความหวังสำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยในสถานการณ์ปัจจุบัน การที่ผู้ประกอบการให้การตอบรับอย่างกว้างขวาง และความพร้อมของประชาชนในการใช้สิทธิ แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นและความเหมาะสมของมาตรการนี้

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของโครงการจะขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของการดำเนินงาน โดยเฉพาะระบบเทคโนโลยีที่ต้องรองรับผู้ใช้งานจำนวนมาก การกระจายสิทธิที่เป็นธรรม และการสื่อสารที่ชัดเจนกับทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค

ในระยะยาว อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้สามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดต่างประเทศ และสร้างความแข็งแกร่งของตลาดภายในประเทศให้มากขึ้น โครงการกระตุ้นต่างๆ เป็นเพียงมาตรการระยะสั้น ในขณะที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การยกระดับมาตรฐานการบริการ และการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมนี้ในอนาคต