“ถ้าคุณเชื่อในบางสิ่งมากพอ… มันจะเกิดขึ้นจริง” 4 แนวคิดผู้ประกอบการพิชิตใจตลาด พร้อมเฟรมเวิร์กสร้างแบรนด์ที่มีจุดยืนอย่างแท้จริง

100 ล้าน วัยรุ่นสร้างตัว News ข่าวล่าสุด

ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจรุนแรงกว่าที่เคย ผู้ประกอบการไม่เพียงต้องมีไอเดียดีเท่านั้น แต่ต้องมีกรอบความคิดที่ถูกต้องเพื่อนำไอเดียเหล่านั้นไปสู่ความสำเร็จ คุณมัณฑิตา จินดา ผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งจาก Digital Tips Academy ได้เปิดเผย 4 แนวคิดหลักที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างแบรนด์ที่มีจุดยืนและเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน

การเป็นผู้ประกอบการในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องง่าย ตามนิยามของ Howard Stevenson นักวิชาการด้านการประกอบการชื่อดังจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้กล่าวไว้ว่า “Entrepreneurship คือ การแสวงหาโอกาสที่อยู่เหนือทรัพยากรที่เราควบคุมได้” ซึ่งหมายความว่าผู้ประกอบการต้องสามารถมองเห็นและจับโอกาสได้แม้ในสถานการณ์ที่มีข้อจำกัด และนี่คือจุดเริ่มต้นของการพัฒนากรอบความคิดที่เหมาะสม

แนวคิดที่ 1: การมองเห็นโอกาสและแนวโน้มใหม่อย่างเชิงกลยุทธ์

การสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเริ่มต้นจากความสามารถในการมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองข้าม ซึ่งสามารถพัฒนาได้จาก 3 วิธีการหลัก

วิธีแรกคือการเริ่มต้นจาก Pain Point หรือความเจ็บปวดส่วนตัว เมื่อเราประสบปัญหาในชีวิตประจำวัน นั่นอาจเป็นสัญญาณว่ามีคนอื่นที่มีปัญหาเดียวกัน ตัวอย่างที่โดดเด่นคือแบรนด์ Her Hyness ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้ก่อตั้งที่มีปัญหาผิวแพ้ง่าย แต่ไม่สามารถหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมได้ในตลาด ปัญหานี้กลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างแบรนด์เครื่องสำอางที่มุ่งเน้น Clean Beauty ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่มีความต้องการคล้ายกัน การเริ่มต้นจาก Pain Point ทำให้ผู้ประกอบการเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง เพราะเขาเองก็เป็นลูกค้าคนแรกของผลิตภัณฑ์นั้น

วิธีที่สองคือการใช้ Market Research อย่างเป็นระบบ ในตลาดที่ดูเหมือนจะอิ่มตัวแล้ว เช่น ตลาดเสื้อผ้า ยังคงมีโอกาสสำหรับผู้ที่สามารถค้นหา Niche ที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ GQ Pro MED Scrubs แบรนด์เสื้อผ้าสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ก่อตั้งได้ใช้เวลาถึง 2 ปีในการเก็บข้อมูลและศึกษาความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างละเอียด พบว่าบุคลากรทางการแพทย์มีความต้องการเสื้อผ้าที่มีคุณภาพสูง สวมใส่สะดวกสบาย และมีดีไซน์ที่ทันสมัย ซึ่งแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ทั่วไปในตลาด การลงทุนเวลาในการทำ Market Research อย่างจริงจังทำให้แบรนด์นี้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของกลุ่มเป้าหมาย

วิธีที่สามคือการตั้งคำถามง่ายๆ แต่ลึกซึ้ง เช่น “สินค้านี้ไม่เป็นมิตรเลย เราจะทำให้มันดีขึ้นได้ไหม” คำถามเรียบง่ายนี้สามารถนำไปสู่การคิดค้นนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมได้ หลายแบรนด์ดังในปัจจุบันเกิดขึ้นจากการที่ผู้ก่อตั้งไม่พอใจกับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีอยู่ และตัดสินใจสร้างทางเลือกที่ดีกว่า การตั้งคำถามแบบนี้ช่วยให้เราหลุดพ้นจากกรอบความคิดเดิมและมองเห็นโอกาสในการพัฒนาสิ่งใหม่

แนวคิดที่ 2: การพัฒนาความสำเร็จจากภายในสู่ภายนอก

ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนเข้าใจดีว่าความสำเร็จที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเริ่มจากการพัฒนาตนเองจากภายใน การสร้าง Mindset ที่ถูกต้อง ทัศนคติเชิงบวก และวินัยในการทำงานเป็นรากฐานสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว

ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมคือเรื่องราวของแบรนด์โทฟุซัง ที่เริ่มต้นจากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้ก่อตั้งที่ต้องออกไปซื้อน้ำเต้าหู้ให้คุณพ่อทุกเช้า ความรำคาญจากกิจวัตรประจำวันนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจในการคิดว่า “คนอื่นมีปัญหาแบบเดียวกับเราไหม” คำถามง่ายๆ นี้นำไปสู่การสร้างธุรกิจที่ตอบสนองความต้องการของคนที่มีไลฟ์สไตล์คล้ายกัน

การพัฒนาจากภายในหมายถึงการฝึกตนเองให้มองเห็นโอกาสในสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาหรือความไม่สะดวก การมี Growth Mindset ที่เชื่อว่าทุกอย่างสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ การมีความอดทนและความมุ่งมั่นในการติดตามเป้าหมายระยะยาว และการมีวินัยในการทำงานอย่างสม่ำเสมอ คุณสมบัติเหล่านี้ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน แต่ต้องสร้างขึ้นมาด้วยการฝึกฝนและประสบการณ์

นอกจากนี้ การพัฒนาจากภายในยังรวมถึงการสร้างเครือข่ายและการเรียนรู้จากผู้อื่น การเปิดใจรับฟังคำติชมและใช้ประโยชน์จากข้อผิดพลาดเป็นบทเรียน การดูแลสุขภาพกายและใจเพื่อให้มีพลังในการทำงานอย่างต่อเนื่อง และการมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนในการทำธุรกิจ ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อผลกำไร แต่เพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคม

แนวคิดที่ 3: การใช้ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมในการคาดการณ์อนาคต

ในตลาดที่ผลิตภัณฑ์และบริการมีความคล้ายคลึงกันมากขึ้น การมีความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้แบรนด์โดดเด่นและสร้างความแตกต่าง ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จมักเป็นคนที่กล้าคิดนอกกรอบและกล้าทำในสิ่งที่ไม่เหมือนใคร

หนึ่งในคำที่ได้ยินบ่อยจากผู้บริโภคในปัจจุบันคือ “สินค้าเดี๋ยวนี้เหมือนกันไปหมด” การรับรู้นี้เป็นทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับผู้ประกอบการ สำหรับผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ นี่คือโอกาสในการสร้างสิ่งที่แตกต่างและไม่เหมือนใคร

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ Journal Boutique แบรนด์น้ำหอมไทยที่กล้าผลิตกลิ่น Mae Nak ออกมา การใช้ชื่อและแนวคิดจากตำนานผีไทยในการสร้างกลิ่นน้ำหอมถือเป็นการฉีกขนบที่ไม่เหมือนใคร แต่กลับสามารถสร้างความสนใจและการพูดถึงในโซเชียลมีเดียได้อย่างมาก การกล้าที่จะแตกต่างทำให้แบรนด์นี้ยังคงอยู่ในกระแสและมีผู้ติดตามอย่างต่อเนื่อง

ความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้หมายถึงการทำสิ่งที่แปลกใหม่เพียงเพื่อความแปลก แต่เป็นการนำเสนอโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน การคิดนวัตกรรมต้องอิงจากความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภค เทรนด์ของตลาด และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป

นอกจากนี้ การใช้ความคิดสร้างสรรค์ยังรวมถึงการหาวิธีการใหม่ในการเล่าเรื่อง การตลาด และการสื่อสารกับลูกค้า ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลข่าวสารล้นเหลือ การสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญมาก แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จมักเป็นแบรนด์ที่สามารถเล่าเรื่องของตนได้อย่างน่าสนใจและสร้างความผูกพันทางอารมณ์กับลูกค้า

แนวคิดที่ 4: ความมั่นใจและการเชื่อมั่นในตัวเองผ่านหลัก Self-Fulfilling Prophecy

แนวคิดสำคัญที่สุดในการเป็นผู้ประกอบการคือความมั่นใจและการเชื่อมั่นในตัวเอง ซึ่งเชื่อมโยงกับแนวคิดทางจิตวิทยาที่เรียกว่า Self-Fulfilling Prophecy หรือ คำทำนายที่กลายเป็นจริงเพราะเราเชื่อว่ามันจะเป็นจริง แนวคิดนี้อธิบายว่าความเชื่อของคนเราสามารถส่งผลต่อพฤติกรรมของตนเอง จนทำให้สิ่งที่เชื่อนั้นเกิดขึ้นจริงในที่สุด

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนแนวคิดนี้มาจากการวิจัยที่ทำในสหรัฐอเมริกา โดยนักวิจัยได้ทำการทดลองแบ่งเด็กออกเป็น 2 กลุ่ม โดยบอกครูว่ากลุ่มหนึ่งเป็นเด็กเก่งและอีกกลุ่มหนึ่งเป็นเด็กไม่เก่ง แม้ว่าการแบ่งกลุ่มนี้จะเป็นการสุ่มและไม่มีพื้นฐานทางวิชาการจริง หลังจากผ่านไป 2 เดือน ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่ากลุ่มเด็กที่ครูเชื่อว่าเก่งมีผลการเรียนดีขึ้นจริง ในขณะที่กลุ่มเด็กที่ครูเชื่อว่าไม่เก่งมีผลการเรียนตกต่ำ

ผลลัพธ์นี้เกิดขึ้นเพราะความเชื่อของครูมีผลต่อวิธีการสอนและการปฏิบัติต่อเด็กแต่ละกลุ่ม ครูที่เชื่อว่าเด็กกลุ่มหนึ่งเก่งจะให้ความสนใจ กำลังใจ และโอกาสมากกว่า ส่งผลให้เด็กเหล่านั้นมีความมั่นใจและแรงจูงใจในการเรียนรู้มากขึ้น ในทางตรงกันข้าม เด็กที่ถูกมองว่าไม่เก่งจะได้รับการดูแลน้อยกว่า ทำให้ขาดแรงจูงใจและผลการเรียนตกต่ำลง

การประยุกต์ใช้หลัก Self-Fulfilling Prophecy ในการประกอบการหมายถึงการสร้างความเชื่อเชิงบวกต่อตนเองและธุรกิจ ผู้ประกอบการที่เชื่อมั่นในความสามารถของตนเองและศักยภาพของธุรกิจจะมีพฤติกรรมและการตัดสินใจที่นำไปสู่ความสำเร็จมากกว่าผู้ที่ขาดความมั่นใจ ความเชื่อมั่นนี้จะสะท้อนออกมาในรูปแบบการทำงานที่มีคุณภาพ การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม ความมั่นใจที่ว่านี้ไม่ใช่ความมั่นใจที่ปราศจากพื้นฐาน แต่เป็นความมั่นใจที่เกิดจากการเตรียมตัวอย่างดี การมีความรู้และทักษะที่จำเป็น และการมีแผนงานที่ชัดเจน ความมั่นใจแบบนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเผชิญกับความท้าทายและอุปสรรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การประยุกต์ใช้ 4 แนวคิดในการสร้างแบรนด์

การนำ 4 แนวคิดหลักนี้มาประยุกต์ใช้ในการสร้างแบรนด์ที่มีจุดยืนต้องทำอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เริ่มต้นจากการใช้แนวคิดที่ 1 ในการวิเคราะห์ตลาดและหาโอกาสทางธุรกิจ จากนั้นใช้แนวคิดที่ 2 ในการพัฒนาตนเองและทีมงานให้พร้อมสำหรับการขับเคลื่อนธุรกิจ ตามด้วยการใช้แนวคิดที่ 3 ในการสร้างความแตกต่างและนวัตกรรมที่จะทำให้แบรนด์โดดเด่น และสุดท้ายใช้แนวคิดที่ 4 ในการสร้างความมั่นใจและเชื่อมั่นที่จะนำแบรนด์ไปสู่ความสำเร็จ

การสร้างแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในยุคปัจจุบันไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคหรือจังหวะเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการมีกรอบความคิดที่ถูกต้อง การวางแผนที่รอบคอบ และการปฏิบัติที่สม่ำเสมอ ผู้ประกอบการที่สามารถรวม 4 แนวคิดนี้เข้าด้วยกันได้อย่างสมดุลจะมีโอกาสสูงในการสร้างแบรนด์ที่ไม่เพียงแต่อยู่รอดในตลาดที่แข่งขันสูง แต่ยังเติบโตและสร้างผลกำไรอย่างยั่งยืน

เฟรมเวิร์กการสร้างแบรนด์ที่มีจุดยืน

การสร้างแบรนด์ที่มีจุดยืนอย่างแท้จริงต้องใช้เฟรมเวิร์กที่ครอบคลุมทั้งการวิเคราะห์ภายในและภายนอก การกำหนดตำแหน่งแบรนด์ การสร้างประสบการณ์ลูกค้า และการวัดผลอย่างต่อเนื่อง

ขั้นตอนแรกคือการทำ SWOT Analysis อย่างละเอียด โดยวิเคราะห์จุดแข็ง (Strengths) จุดอ่อน (Weaknesses) โอกาส (Opportunities) และอุปสรรค (Threats) ของธุรกิจ การวิเคราะห์นี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันและกำหนดทิศทางการพัฒนาแบรนด์ได้อย่างเหมาะสม

ขั้นตอนที่สองคือการกำหนด Brand Positioning และ Unique Value Proposition (UVP) ที่ชัดเจน แบรนด์ต้องสามารถตอบคำถามได้ว่า “เราแตกต่างจากคู่แข่งอย่างไร” และ “ลูกค้าจะได้ประโยชน์อะไรจากการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการของเรา” การมี UVP ที่ชัดเจนจะช่วยให้การสื่อสารกับลูกค้ามีประสิทธิภาพและสร้างความจดจำได้ดี

ขั้นตอนที่สามคือการออกแบบ Customer Journey และ Brand Experience ที่สอดคล้องกัน ตั้งแต่จุดที่ลูกค้ารู้จักแบรนด์ครั้งแรก ไปจนถึงการเป็นลูกค้าผู้ภักดีและแนะนำแบรนด์ให้กับคนอื่น ทุกจุดสัมผัสต้องสร้างประสบการณ์ที่ดีและสอดคล้องกับ Brand Promise

ขั้นตอนสุดท้ายคือการวัดผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การใช้ KPIs ที่เหมาะสมในการติดตามประสิทธิภาพของแบรนด์ เช่น Brand Awareness, Customer Satisfaction, Net Promoter Score (NPS) และ Customer Lifetime Value (CLV) การวัดผลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการทราบว่าแบรนด์กำลังไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ และสามารถปรับกลยุทธ์ได้ทันเวลา

ความท้าทายและแนวทางแก้ไข

การนำ 4 แนวคิดนี้ไปปฏิบัติจริงไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ประกอบการจะต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น การขาดแคลนทุน การแข่งขันที่รุนแรง การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และความไม่แน่นอนของตลาด

สำหรับปัญหาการขาดแคลนทุน ผู้ประกอบการสามารถใช้กลยุทธ์ Bootstrap โดยการเริ่มต้นจากสิ่งที่มีและค่อยๆ ขยายธุรกิจตามรายได้ที่เกิดขึ้น หรือหาแหล่งเงินทุนทางเลือก เช่น Crowdfunding, Angel Investors หรือโปรแกรมสนับสนุนผู้ประกอบการจากภาครัฐ

สำหรับปัญหาการแข่งขันที่รุนแรง การมีจุดยืนที่ชัดเจนและการสร้างความแตกต่างเป็นกุญแจสำคัญ แบรนด์ที่สามารถสร้าง Blue Ocean หรือตลาดใหม่ที่ไม่มีการแข่งขันจะมีโอกาสเติบโตได้มากกว่าการไปแข่งขันในตลาดที่มี Red Ocean

การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเป็นทั้งความท้าทายและโอกาส ผู้ประกอบการต้องติดตามเทรนด์เทคโนโลยีอย่างสม่ำเสมอและพิจารณาการนำมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจ การมี Digital Mindset และความยืดหยุ่นในการปรับตัวจะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ได้

บทสรุป: เส้นทางสู่ความสำเร็จของผู้ประกอบการยุคใหม่

การเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในยุคปัจจุบันต้องการมากกว่าไอเดียดีและเงินทุน ต้องการกรอบความคิดที่ถูกต้อง ความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง และความกล้าหาญในการทำสิ่งที่แตกต่าง

4 แนวคิดหลักที่คุณมัณฑิตา จินดาได้นำเสนอ ได้แก่ การมองเห็นโอกาส การพัฒนาจากภายใน การใช้ความคิดสร้างสรรค์ และการเชื่อมั่นในตัวเอง เป็นเสาหลักที่จะช่วยพยุงแบรนด์ให้สามารถยืนหยัดและเติบโตได้ในระยะยาว

สิ่งสำคัญที่สุดคือการเข้าใจว่าการสร้างแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องของข้ามคืน แต่เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา ความอดทน และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ดังที่กล่าวไว้ในหัวข้อของบทความนี้ “ถ้าคุณเชื่อในบางสิ่งมากพอ มันจะเกิดขึ้นจริง” แต่ความเชื่อนั้นต้องมาพร้อมกับการปฏิบัติที่ถูกต้องและการมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมแพ้

ผู้ประกอบการที่สามารถนำ 4 แนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้ในการสร้างแบรนด์และธุรกิจของตนจะมีโอกาสสูงในการสร้างความสำเร็จที่ยั่งยืน ไม่เพียงแต่ในแง่ของผลกำไร แต่ยังในแง่ของการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า สังคม และโลกใบนี้

ในท้ายที่สุด การเป็นผู้ประกอบการคือการเป็นผู้ที่กล้าฝัน กล้าทำ และกล้าเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น ด้วย 4 แนวคิดหลักนี้ ผู้ประกอบการจะมีเครื่องมือและกรอบความคิดที่จำเป็นในการเดินทางสู่ความสำเร็จและการสร้างแบรนด์ที่มีจุดยืนอย่างแท้จริงในตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว