ตลาดกาแฟไทยท้าทายภาวะเศรษฐกิจ ร้านกาแฟสเปเชียลตี้ราคาประหยัดขยายตัวแรง กรุงเทพฯ โตพุ่ง 46%

100 ล้าน วัยรุ่นสร้างตัว News ข่าวล่าสุด

ภาวะการค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่มปี 2568 เผชิญความท้าทายรุนแรง ขณะที่ธุรกิจกาแฟคุณภาพราคาเข้าถึงได้กลายเป็นจุดสว่างในตลาดที่หดตัว

ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่หดตัวอย่างรุนแรงส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอย่างต่อเนื่อง แต่ท่ามกลางความยากลำบากดังกล่าว ตลาดร้านกาแฟ โดยเฉพาะเซกเมนต์สเปเชียลตี้คอฟฟี่ในราคาที่เข้าถึงได้ กลับแสดงสัญญาณการเติบโตที่แข็งแกร่ง สะท้อนการปรับตัวของผู้บริโภคไทยในยุคเศรษฐกิจใหม่

ข้อมูลล่าสุดจากงาน Thailand Coffee Fest 2025 เผยให้เห็นถึงภาพรวมตลาดที่มีทั้งความท้าทายและโอกาสใหม่ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของไทยในปีหน้า

ภาพรวมตลาดอาหาร ยอดขายหดตัว 14% จากปัจจัยเศรษฐกิจและท่องเที่ยว

นายยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไลน์แมน วงใน (LINE MAN Wongnai) เปิดเผยในงานดังกล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารไทยในปี 2568 เผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ โดยยอดขายของร้านอาหารลดลง 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า การหดตัวครั้งนี้เกิดจากสองปัจจัยหลัก คือ ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง และจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงจากปีก่อน

ผลกระทบดังกล่าวส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารทั่วประเทศต้องเผชิญกับความยากลำบากในการรักษายอดขาย โดยเฉพาะร้านอาหารในพื้นที่ท่องเที่ยวที่พึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก การลดลงของจำนวนผู้มาเยือนส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของผู้ประกอบการ

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทายของภาคอาหาร กลับมีเซกเมนต์หนึ่งที่แสดงสัญญาณการเติบโตที่น่าประทับใจ นั่นคือตลาดร้านกาแฟ โดยเฉพาะกลุ่มสเปเชียลตี้คอฟฟี่ที่มีราคาเข้าถึงได้ ซึ่งกลายเป็นจุดสว่างในตลาดที่มีความผันผวน

กาแฟสเปเชียลตี้ราคาประหยัด นำทีมเติบโตแรงที่สุดในตลาด

ข้อมูลจาก LINE MAN Wongnai เผยให้เห็นแนวโน้มที่น่าสนใจของตลาดกาแฟไทย โดยร้านกาแฟสเปเชียลตี้ที่มีราคาจับต้องได้หรือ Affordable Specialty Coffee ซึ่งหมายถึงร้านกาแฟที่มีราคาต่อบิลต่ำกว่า 100 บาท กลายเป็นสัดส่วนตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดในปีนี้

ในเขตกรุงเทพมหานคร ตลาดกาแฟเซกเมนต์นี้เติบโตสูงถึง 46% ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่สูงมากเมื่อเทียบกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่ในต่างจังหวัดก็มีการเติบโตที่น่าพอใจอยู่ที่ 19% การเติบโตแบบก้าวกระโดดนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยที่ยังคงต้องการเครื่องดื่มคุณภาพ แต่มีความละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้นในเรื่องราคา

ความสำเร็จของเซกเมนต์นี้เกิดจากการที่ผู้ประกอบการสามารถผสมผสานระหว่างคุณภาพของกาแฟและราคาที่เข้าถึงได้เข้าด้วยกัน ทำให้ผู้บริโภคยังคงสามารถเพลิดเพลินกับประสบการณ์การดื่มกาแฟคุณภาพสูงโดยไม่ต้องกังวลเรื่องงบประมาณที่จำกัด

จำนวนร้านเปิดใหม่ลดลง แต่อัตราอยู่รอดสูงกว่าร้านอาหารทั่วไป

แม้ว่าการเติบโตของตลาดกาแฟจะแสดงสัญญาณที่ดี แต่จำนวนร้านกาแฟเปิดใหม่ในปี 2568 กลับลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยในครึ่งปีแรกของปีนี้มีร้านกาแฟเปิดใหม่จำนวน 5,000 ร้าน ลดลงจาก 7,000 ร้านในช่วงเดียวกันของปีก่อน

การลดลงของจำนวนร้านเปิดใหม่นี้สะท้อนถึงความระมัดระวังของผู้ประกอบการในการลงทุนท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจคือร้านกาแฟยังคงมีอัตราการอยู่รอดที่ดีกว่าธุรกิจร้านอาหารทั่วไป

ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าร้านกาแฟมีอัตราการปิดตัวในปีแรกอยู่ที่ 43% ซึ่งแม้จะฟังดูสูง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับร้านอาหารทั่วไปที่มีอัตราการปิดตัวในปีแรกสูงถึง 50% แล้ว ร้านกาแฟยังคงมีโอกาสในการอยู่รอดที่ดีกว่า

ความแตกต่างนี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำกว่า การมีลูกค้าประจำที่ซื่อสัตย์ และความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของตลาดได้รวดเร็วกว่า นอกจากนี้ วัฒนธรรมการดื่มกาแฟที่หยั่งรากลึกในสังคมไทยก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนความยั่งยืนของธุรกิจนี้

เทรนด์มัทฉะยังคงร้อนแรง ยอดขายเติบโต 28%

นอกจากกาแฟแล้ว อีกหนึ่งเทรนด์เครื่องดื่มที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องคือตลาดมัทฉะ ข้อมูลจาก LINE MAN Wongnai ชี้ให้เห็นว่ายอดขายของร้านมัทฉะที่มีอยู่เดิมมีการเติบโตสูงถึง 28% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

การเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดมัทฉะสะท้อนถึงการที่ผู้บริโภคไทยยังคงให้ความสนใจกับเครื่องดื่มที่มีเอกลักษณ์และประโยชน์ต่อสุขภาพ มัทฉะซึ่งเป็นชาเขียวญี่ปุ่นที่มีรสชาติเฉพาะตัวและมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ได้รับการยอมรับจากกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและชื่นชอบการลองของใหม่

ความสำเร็จของตลาดมัทฉะยังได้รับการสนับสนุนจากการที่ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มมัทฉะเย็น ร้อน ขนมหวานมัทฉะ หรือแม้กระทั่งไอศกรีมและเบเกอรี่ที่มีรสมัทฉะ การขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์นี้ช่วยให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้นและสร้างความสนใจอย่างต่อเนื่อง

สเปเชียลตี้คอฟฟี่ครองส่วนแบ่งตลาดใหญ่ กรุงเทพฯ นำหน้า 66%

การวิเคราะห์โครงสร้างตลาดกาแฟไทยเผยให้เห็นภาพที่น่าสนใจ โดยสเปเชียลตี้คอฟฟี่มีส่วนแบ่งตลาดที่ใหญ่กว่ากาแฟทั่วไปอย่างชัดเจน ในภาพรวมทั่วประเทศ สเปเชียลตี้คอฟฟี่มีสัดส่วนยอดขาย 56% ของตลาดกาแฟทั้งหมด

สิ่งที่น่าสนใจยิ่งขึ้นคือในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ส่วนแบ่งตลาดของสเปเชียลตี้คอฟฟี่สูงถึง 66% ซึ่งสะท้อนถึงระดับความซับซ้อนและการเติบโตของวัฒนธรรมกาแฟในเมืองใหญ่ ผู้บริโภคในกรุงเทพฯ มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกาแฟมากขึ้น และพร้อมที่จะจ่ายเงินเพิ่มเติมเพื่อประสบการณ์กาแฟที่ดีกว่า

การที่สเปเชียลตี้คอฟฟี่สามารถครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่าครึ่งหนึ่งนั้น เกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มขึ้นของความรู้เกี่ยวกับกาแฟในหมู่ผู้บริโภค การมีทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น และการที่ร้านกาแฟสเปเชียลตี้สามารถสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับลูกค้าได้

นอกจากนี้ การเติบโตของสื่อสังคมออนไลน์ก็มีส่วนสำคัญในการผลักดันเทรนด์สเปเชียลตี้คอฟฟี่ เนื่องจากผู้บริโภคได้รับข้อมูลและแรงบันดาลใจเกี่ยวกับกาแฟจากแพลตฟอร์มต่างๆ ทำให้เกิดความต้องการที่จะลองและแบ่งปันประสบการณ์กาแฟที่พิเศษ

พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ต้องการความรวดเร็วและช่องทางหลากหลาย

การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบันเผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ผู้บริโภคในปี 2568 ต้องการความรวดเร็วในการบริการ ช่องทางการสั่งซื้อที่หลากหลาย และความสะดวกในการชำระเงิน

หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือการใช้ Digital Payment หรือการชำระเงินผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนเกินครึ่งหนึ่งของการชำระเงินทั้งหมดในร้านกาแฟ สิ่งที่น่าสนใจคือการใช้ Digital Payment ไม่เพียงแต่ช่วยให้การชำระเงินสะดวกรวดเร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มยอดขายต่อบิลขึ้นถึง 32%

การเพิ่มขึ้นของยอดขายต่อบิลนี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ความสะดวกในการชำระเงินทำให้ลูกค้าไม่ลังเลที่จะสั่งเพิ่มเติม การมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับผู้ใช้ Digital Payment หรือการที่ลูกค้าไม่ต้องกังวลเรื่องเงินสดที่มีอยู่ในกระเป๋า

อีกหนึ่งนวัตกรรมที่มีผลกระทบสำคัญคือ Digital Ordering โดยเฉพาะการสั่งผ่าน QR Code ที่โต๊ะ ระบบนี้ช่วยเพิ่มขนาดออเดอร์ได้ถึง 37% การเพิ่มขึ้นนี้เกิดจากความสะดวกที่ลูกค้าสามารถดูเมนู ดูรูปภาพอาหารและเครื่องดื่ม และสั่งเพิ่มเติมได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องรอพนักงาน

ช่องทางเดลิเวอรี่ขยายตัวแรง โตขึ้น 23%

การเติบโตของธุรกิจเดลิเวอรี่ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดกาแฟ ข้อมูลจาก LINE MAN แสดงให้เห็นว่ายอดขายกาแฟผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่เติบโตขึ้น 23% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

สิ่งที่น่าสนใจคือสัดส่วนรายได้จากเดลิเวอรี่ในธุรกิจร้านกาแฟ โดยเฉลี่ยแล้ว 22% ของยอดขายร้านกาแฟมาจากช่องทางเดลิเวอรี่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเดลิเวอรี่ไม่ใช่เพียงช่องทางเสริม แต่กลายเป็นส่วนสำคัญของรายได้หลักของร้านกาแฟแล้ว

การเติบโตของเดลิเวอรี่กาแฟเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ของคนทำงานที่มีเวลาน้อยลง ความต้องการความสะดวกสบาย และการปรับปรุงคุณภาพของบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยรักษารสชาติและอุณหภูมิของกาแฟได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ การที่ร้านกาแฟสามารถเข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ที่กว้างขึ้นผ่านเดลิเวอรี่ยังช่วยเพิ่มฐานลูกค้าและสร้างรายได้เพิ่มเติมได้อย่างมีนัยสำคัญ สำหรับร้านกาแฟที่อยู่ในทำเลที่ไม่ได้เปรียบ เดลิเวอรี่กลายเป็นโอกาสในการแข่งขันกับร้านที่อยู่ในทำเลดีๆ ได้

สูตรสำเร็จใน 3 ปัจจัยหลัก สำหรับธุรกิจยุคใหม่

จากการวิเคราะห์ข้อมูลและแนวโน้มต่างๆ LINE MAN Wongnai ได้สรุป 3 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในยุคนี้สามารถประสบความสำเร็จได้ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ

ปัจจัยแรก: การขายสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้ (Affordable Quality)

แนวคิด Affordable Quality กลายเป็นกุญแจสำคัญในการดึงดูดลูกค้าในยุคที่กำลังซื้อหดตัว ผู้บริโภคยังคงต้องการผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพ แต่มีความระมัดระวังมากขึ้นในเรื่องราคา ร้านที่สามารถสร้างสมดุลระหว่างคุณภาพและราคาได้ดีจะมีโอกาสในการเติบโตและอยู่รอดได้มากกว่า

การสร้าง Affordable Quality ต้องอาศัยการจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม และการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น

ปัจจัยที่สอง: การมีช่องทางขายครบวงจรทั้งหน้าร้านและออนไลน์ (Omni-channel)

ในยุคดิจิทัล ผู้บริโภคต้องการความยืดหยุ่นในการเลือกช่องทางการซื้อสินค้าและบริการ การมีช่องทางขายที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการขายหน้าร้าน การเดลิเวอรี่ การสั่งผ่านแอพพลิเคชั่น หรือการสั่งผ่าน QR Code จะช่วยให้ร้านสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นและตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละกลุ่มลูกค้า

การบริหารจัดการ Omni-channel ที่ดีต้องอาศัยระบบที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างช่องทางต่างๆ ได้อย่างราบรื่น เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่สอดคล้องกันไม่ว่าจะใช้ช่องทางไหน

ปัจจัยที่สาม: การใช้เทคโนโลジีและเครื่องมือดิจิทัล

การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินงาน เช่น ระบบ POS ที่ทันสมัย Digital Ordering และ Digital Payment ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานเท่านั้น แต่ยังช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและเพิ่มยอดขายได้อีกด้วย

เทคโนโลยีเหล่านี้ยังช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าได้ดีขึ้น นำไปสู่การปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น การลงทุนในเทคโนโลยีที่เหมาะสมจึงเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของธุรกิจ

มุมมองอนาคต: ความท้าทายและโอกาสของตลาดกาแฟไทย

การเติบโตของตลาดกาแฟไทยในปี 2568 ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในอนาคตจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการต่อยอดแนวโน้มเชิงบวกเหล่านี้

สำหรับผู้ประกอบการ การเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปและการปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ใหม่ๆ จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความแตกต่างและความยั่งยืน การลงทุนในเทคโนโลยี การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าจะเป็นปัจจัยที่กำหนดผู้ชนะในตลาดที่มีการแข่งขันสูง

ในขณะเดียวกัน การที่ตลาดกาแฟสามารถเติบโตได้ในช่วงเวลาที่ท้าทายก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ยังมีอยู่มาก หากสถานการณ์เศรษฐกิจดีขึ้นในอนาคต คาดว่าตลาดกาแฟจะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

สำหรับอนาคตของตลาดกาแฟไทย การพัฒนาที่ยั่งยืนและการสร้างมูลค่าเพิ่มตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟไปจนถึงผู้บริโภคคนสุดท้าย จะเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องให้ความสนใจ การสนับสนุนเกษตรกรท้องถิ่น การใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพจากในประเทศ และการสร้างแบรนด์กาแฟไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากลจะเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟไทยให้เข้มแข็งและยั่งยืนในระยะยาว