“กฎ 7 ครั้ง (Rule of 7)” กลยุทธ์การตลาดที่เจ้าของธุรกิจไทยมองข้าม แต่สามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 250%

100 ล้าน วัยรุ่นสร้างตัว News ข่าวล่าสุด

ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องเห็นแบรนด์อย่างน้อย 7 ครั้งก่อนตัดสินใจซื้อ แต่เจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่ยังไม่ให้ความสำคัญกับหลักการทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพนี้

เมื่อวันที่ผ่านมา แวดวงการตลาดดิจิทัลได้หันมาให้ความสนใจกับ “Rule of 7” หรือ “กฎ 7 ครั้ง” อย่างจริงจัง หลังจากรายงานวิจัยล่าสุดจาก Meta ระบุชัดเจนว่า ผู้บริโภคที่พบเห็นแบรนด์ผ่านหลายจุดสัมผัสมีอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าจริงมากกว่าผู้ที่เห็นเพียงจุดเดียวถึง 2.5 เท่า

กฎการตลาดที่มีอายุหลายทศวรรษนี้ยังคงมีความเกี่ยวข้องสูงในยุคดิจิทัล โดยชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคต้องสัมผัสกับข้อความของแบรนด์อย่างน้อย 7 ครั้งก่อนที่จะตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ หลักการพื้นฐานอยู่ที่การสร้างความคุ้นเคยและไว้วางใจ เพราะ “ยิ่งเห็นบ่อย ยิ่งคุ้นเคย ยิ่งไว้วางใจ”

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลักการนี้จะได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ แต่เจ้าของธุรกิจไทยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยให้ความสำคัญหรือนำไปประยุกต์ใช้อย่างเป็นระบบ ส่งผลให้พลาดโอกาสในการเพิ่มยอดขายและสร้างฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง

หลักฐานเชิงประจักษ์จากผู้เชี่ยวชาญการตลาดโลก

รายงานวิจัยจาก Meta ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้นำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับพลังของการสร้างจุดสัมผัสหลายช่องทาง การศึกษาครั้งนี้ติดตามพฤติกรรมผู้บริโภคนับล้านคนทั่วโลกและพบว่า การเพิ่มจุดสัมผัสกับแบรนด์ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มการจดจำแบรนด์เท่านั้น แต่ยังมีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค

นักจิตวิทยาการบริโภคอธิบายว่า สมองมนุษย์มีกลไกป้องกันตัวเองจากข้อมูลใหม่ที่ไม่คุ้นเคย การเห็นแบรนด์หรือสินค้าซ้ำหลายครั้งจะทำให้เกิดความรู้สึกคุ้นเคยและลดความไม่แน่นใจในการตัดสินใจ นี่คือเหตุผลที่ทำให้กฎ 7 ครั้งมีประสิทธิภาพในการสร้างความไว้วางใจและกระตุ้นการซื้อ

7 กลยุทธ์หลักในการประยุกต์ใช้กฎ 7 ครั้ง

1. Retargeting: การจับกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำ

กลยุทธ์ Retargeting เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งบประมาณการตลาดอย่างคุ้มค่า แทนที่จะพยายามเข้าถึงทุกคนในตลาด ธุรกิจควรโฟกัสที่กลุ่มผู้ที่แสดงความสนใจในแบรนด์แล้ว เช่น ผู้ที่กดถูกใจเพจ ผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์ หรือผู้ที่ดูวิดีโอครบทั้งหมด

เทคโนโลยี AI ของแพลตฟอร์มโฆษณาจะวิเคราะห์พฤติกรรมของกลุ่มนี้และแสดงโฆษณาให้เห็นซ้ำในช่วงเวลาที่เหมาะสม การทำ Retargeting ที่ดีสามารถเพิ่ม conversion rate ได้ถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับการโฆษณาแบบทั่วไป เพราะเป็นการเข้าถึงผู้ที่มีโอกาสซื้อสูงอยู่แล้ว

ความสำคัญของ Retargeting อยู่ที่การสร้างความต่อเนื่องในการสื่อสาร เมื่อผู้บริโภคเห็นแบรนด์ซ้ำหลายครั้งผ่านช่องทางต่างๆ จะเกิดความรู้สึกว่าแบรนด์นั้นมีความน่าเชื่อถือและเป็นที่รู้จักในตลาด

2. Influencer Marketing: พลังการรับรองจากบุคคลที่สาม

การตลาดผ่านผู้มีอิทธิพลกลายเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูงในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ เหตุผลสำคัญคือ ผู้บริโภคมักจะเชื่อถือคำแนะนำจากบุคคลที่สามมากกว่าข้อความการตลาดจากแบรนด์โดยตรง

การเลือก Influencer ที่เหมาะสมไม่ได้อยู่ที่จำนวนผู้ติดตามเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาถึงความสอดคล้องของค่านิยมกับแบรนด์ อัตราการมีส่วนร่วมของผู้ติดตาม และความน่าเชื่อถือของเนื้อหาที่นำเสนอ Micro-influencer ที่มีผู้ติดตาม 10,000-100,000 คน มักจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า Mega-influencer ในเรื่องของ engagement rate และความใกล้ชิดกับผู้ติดตาม

สิ่งสำคัญในการทำ Influencer Marketing คือการหลีกเลี่ยงการขายสินค้าแบบหน้าด้านเกินไป เนื้อหาที่ดีควรมีการผสมผสานระหว่างการให้ข้อมูลและการแนะนำอย่างธรรมชาติ เพื่อให้ผู้ติดตามรู้สึกว่าได้รับคำแนะนำที่จริงใจ ไม่ใช่การโฆษณาแบบชัดเจน

3. Content Repurposing: การใช้ประโยชน์สูงสุดจากเนื้อหา

กลยุทธ์ Content Repurposing เป็นวิธีการที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างจุดสัมผัสหลายครั้งจากเนื้อหาหลักเพียงชิ้นเดียว จากวิดีโอหลักหนึ่งเรื่องสามารถแยกย่อยเป็นเนื้อหารูปแบบต่างๆ ได้มากมาย เช่น ภาพข้อมูล (Infographic) โพสต์ภาพนิ่งพร้อมข้อความ บทความในเว็บไซต์ คลิปสั้นสำหรับ Stories และ Reels

การทำ Content Repurposing ที่มีประสิทธิภาพต้องคำนึงถึงลักษณะเฉพาะของแต่ละแพลตฟอร์ม เนื้อหาเดียวกันอาจต้องปรับการนำเสนอให้เหมาะกับ Facebook Instagram LinkedIn TikTok หรือ YouTube แต่ละแพลตฟอร์มมีผู้ใช้งานที่แตกต่างกันและชอบเนื้อหารูปแบบที่ไม่เหมือนกัน

ประโยชน์ของวิธีนี้ไม่ได้อยู่ที่การประหยัดต้นทุนเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยเข้าถึงผู้ชมที่อาจพลาดเนื้อหาต้นฉบับ และสร้างโอกาสให้ผู้ที่เคยเห็นแล้วได้เห็นซ้ำในรูปแบบใหม่ ทำให้เกิดการเสริมสร้างความจำและความเข้าใจในข้อความของแบรนด์

4. Email Marketing: การสื่อสารส่วนตัวที่ทรงพลัง

แม้ว่าจะมีช่องทางการตลาดดิจิทัลใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่ Email Marketing ยังคงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า การส่งอีเมลแบบลำดับ (Email Sequence) ที่ออกแบบมาอย่างดีสามารถนำลูกค้าผ่านขั้นตอนการตัดสินใจซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อีเมลแต่ละฉบับในลำดับควรมีจุดประสงค์ที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้า การแชร์เคสศึกษาความสำเร็จ การสร้างความไว้วางใจผ่านการรับรองจากลูกค้าเก่า หรือการกระตุ้นการซื้อด้วยโปรโมชั่นพิเศษ การใช้เทคนิค Personalization และ Segmentation จะช่วยเพิ่มความเกี่ยวข้องของเนื้อหากับผู้รับแต่ละคน

ข้อดีสำคัญของ Email Marketing คือความสามารถในการติดตามผลลัพธ์อย่างละเอียด ธุรกิจสามารถวัดได้ว่าผู้รับเปิดอีเมลหรือไม่ คลิกลิงก์ใดบ้าง และดำเนินการตามที่ต้องการหรือไม่ ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปปรับปรุงเนื้อหาและกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

5. Remarketing Ads: การติดตามอย่างชาญฉลาด

Remarketing Ads เป็นรูปแบบโฆษณาที่ใช้เทคโนโลジี Pixel Tracking เพื่อแสดงโฆษณาให้กับผู้ที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์ของธุรกิจแล้ว การทำ Remarketing ที่มีประสิทธิภาพต้องปรับข้อความและเนื้อหาให้เข้ากับขั้นตอนต่างๆ ในการเดินทางของลูกค้า (Customer Journey)

ตั้งแต่ผู้ที่เพิ่งเข้ามาดูเว็บไซต์ครั้งแรก ไปจนถึงผู้ที่ใส่สินค้าในตะกร้าแล้วแต่ยังไม่ได้ชำระเงิน แต่ละกลุ่มต้องการข้อความที่แตกต่างกัน กลุ่มแรกอาจต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้า ในขณะที่กลุ่มหลังอาจต้องการการกระตุ้นด้วยส่วนลดหรือการรับประกันความปลอดภัยในการซื้อ

การทำ Remarketing ยังช่วยให้แบรนด์สามารถปรากฏอยู่ในพื้นที่ดิจิทัลที่ลูกค้าใช้งานประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการเล่น Facebook ดู YouTube หรือเข้าเว็บไซต์ข่าว การปรากฏซ้ำในหลายบริบทจะช่วยเสริมสร้างความจำและความน่าเชื่อถือของแบรนด์

6. Multi-Platform Presence: การอยู่ทุกที่ที่ลูกค้าอยู่

ในยุคที่ผู้บริโภคใช้เวลากับสื่อหลากหลายรูปแบบ การมีตัวตนในหลายแพลตฟอร์มจึงเป็นสิ่งจำเป็น นอกจาก Facebook และ Instagram ที่เป็นช่องทางหลัก ธุรกิจควรขยายไปยังแพลตฟอร์มที่กลุ่มเป้าหมายใช้งาน เช่น YouTube สำหรับการศึกษา Podcast สำหรับการบริโภคเนื้อหาระหว่างเดินทาง หรือ LinkedIn สำหรับกลุ่ม B2B

การปรับเนื้อหาให้เหมาะกับแต่ละแพลตฟอร์มเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ใช้ TikTok ชอบเนื้อหาที่สนุกสนานและมีความคิดสร้างสรรค์ ในขณะที่ผู้ใช้ LinkedIn ต้องการเนื้อหาที่มีข้อมูลเชิงลึกและเป็นประโยชน์ต่อการทำงาน การเข้าใจลักษณะของผู้ใช้แต่ละแพลตฟอร์มจะช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การมีตัวตนในหลายแพลตฟอร์มยังช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาช่องทางเดียว หาก Algorithm ของแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่งเปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบต่อการเข้าถึง ธุรกิจยังคงมีช่องทางอื่นในการติดต่อกับลูกค้า

7. Strategic Partnerships: การร่วมมือเพื่อขยายฐานลูกค้า

การสร้างพันธมิตรทางกลยุทธ์กับธุรกิจที่มีกลุ่มลูกค้าคล้ายกันแต่ไม่ใช่คู่แข่งโดยตรงเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการขยายการเข้าถึงลูกค้าใหม่ การจัด Webinar ร่วมกัน การสร้างเนื้อหาร่วม หรือการทำ Cross-promotion สามารถช่วยให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์

ตัวอย่างเช่น ธุรกิจขายอุปกรณ์ออกกำลังกายอาจร่วมมือกับผู้ให้บริการโปรแกรมลดน้ำหนัก หรือร้านอาหารเพื่อสุขภาพ การร่วมมือแบบนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเข้าถึงลูกค้าใหม่ แต่ยังเพิ่มความน่าเชื่อถือผ่านการรับรองจากพันธมิตรที่มีชื่อเสียง

การเลือกพันธมิตรที่เหมาะสมต้องพิจารณาถึงความสอดคล้องของค่านิยมแบรนด์ คุณภาพของสินค้าหรือบริการ และความเป็นมืออาชีพในการดำเนินธุรกิจ การร่วมมือที่ดีควรสร้างประโยชน์ให้กับลูกค้าของทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนการโปรโมต

การนำไปปฏิบัติให้เกิดผลลัพธ์จริง

การประยุกต์ใช้กฎ 7 ครั้งไม่จำเป็นต้องใช้ 7 รูปแบบที่แตกต่างกันทั้งหมด ธุรกิจสามารถสร้างความหลากหลายในการสัมผัสได้หลายวิธี เช่น การแสดงเนื้อหาเดียวกันใน 7 ช่วงเวลาที่แตกต่างกัน การใช้ 7 แพลตฟอร์มที่แตกต่างกัน หรือการสร้าง 7 รูปแบบเนื้อหาจากข้อความหลักเดียวกัน

การวางแผนการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพควรคำนึงถึงรูปแบบการใช้สื่อของกลุ่มเป้าหมาย เวลาที่พวกเขาใช้งานแพลตฟอร์มต่างๆ และประเภทเนื้อหาที่พวกเขาชื่นชอบ ข้อมูลเหล่านี้สามารถหาได้จากการวิเคราะห์ Analytics ของแต่ละแพลตฟอร์ม หรือการสำรวจลูกค้าโดยตรง

การวัดผลเป็นสิ่งสำคัญในการปรับปรุงกลยุทธ์ ธุรกิจควรติดตาม Metrics ที่สำคัญ เช่น Reach (การเข้าถึง) Frequency (ความถี่ในการเห็น) Engagement Rate (อัตราการมีส่วนร่วม) และ Conversion Rate (อัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้า) เพื่อประเมินว่ากลยุทธ์ใดให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทย

การประยุกต์ใช้กฎ 7 ครั้งอย่างเป็นระบบสามารถช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่การค้าออนไลน์และการตลาดดิจิทัลมีบทบาทสำคัญมากขึ้น

ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่นำหลักการนี้ไปใช้จะสามารถแข่งขันกับธุรกิจขนาดใหญ่ได้มากขึ้น เพราะการสร้างจุดสัมผัสหลายครั้งไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณมหาศาล แต่ต้องอาศัยการวางแผนและการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพ

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในยุค Post-COVID ที่หันมาใช้สื่อดิจิทัลมากขึ้น ทำให้การประยุกต์ใช้กฎ 7 ครั้งมีความสำคัญและเป็นไปได้มากกว่าเดิม ธุรกิจที่ปรับตัวได้เร็วและนำหลักการนี้ไปใช้อย่างถูกต้องจะได้เปรียบในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและการเพิ่มยอดขาย

ข้อเสนอแนะสำหรับการเริ่มต้น

เจ้าของธุรกิจที่สนใจนำกฎ 7 ครั้งไปใช้ควรเริ่มต้นด้วยการประเมินจุดสัมผัสปัจจุบันในแคมเปญการตลาด การตั้งคำถามว่า “กลุ่มเป้าหมายของเราได้เห็นข้อความของแบรนด์ครบ 7 ครั้งหรือไม่?” จะช่วยให้เห็นภาพรวมของสถานการณ์ปัจจุบันและช่องว่างที่ต้องปรับปรุง

การลงทุนในระบบการติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ เครื่องมือเช่น Google Analytics, Facebook Pixel, และระบบ CRM จะช่วยให้ธุรกิจเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าและวางแผนการสื่อสารได้อย่างแม่นยำ

สุดท้าย ความสำเร็จในการใช้กฎ 7 ครั้งขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอและคุณภาพของเนื้อหา การสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าและสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าจะช่วยให้การเห็นซ้ำหลายครั้งกลายเป็นประสบการณ์ที่ดีแทนที่จะเป็นการรบกวน

การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดให้สอดคล้องกับกฎ 7 ครั้งอาจต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และปรับปรุง แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะคุ้มค่ากับการลงทุนและช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว การเริ่มต้นวันนี้จะเป็นก้าวแรกสู่การเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดและการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้า