งานวิจัยเผย Fixed Mindset คือปัญหาหลักที่ขัดขวางการพัฒนา
หลายคนมักเชื่อว่าเหตุผลที่ชีวิตยังคงอยู่ที่เดิมเป็นเพราะปัจจัยภายนอก เช่น ขาดทุน ขาดโอกาส หรือสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย แต่งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัย Stanford กลับชี้ว่าสาเหตุหลักมาจาก "วิธีคิด" มากกว่าสิ่งอื่นใด
ศาสตราจารย์ Carol Dweck นักจิตวิทยาการศึกษาชื่อดังจากมหาวิทยาลัย Stanford ได้ทำการศึกษาเป็นเวลากว่า 30 ปี และพบข้อสรุปที่น่าประหลาดใจว่า คนที่มี "Fixed Mindset" หรือความเชื่อว่าความสามารถเป็นสิ่งที่ตายตัวและไม่สามารถพัฒนาได้ จะมีข้อจำกัดในการเติบโตอย่างมาก
"ผู้ที่เชื่อว่าพรสวรรค์และความฉลาดเป็นคุณสมบัติคงที่ มักจะหลีกเลี่ยงการท้าทาย กลัวความล้มเหลว และไม่กล้าออกจากพื้นที่ปลอดภัย" ศาสตราจารย์ Dweck อธิบายในงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Psychological Science
ในทางกลับกัน คนที่มี "Growth Mindset" หรือความเชื่อว่าความสามารถสามารถพัฒนาได้ผ่านการฝึกฝนและความพยายาม จะแสดงพฤติกรรมที่เอื้อต่อการเติบโตมากกว่า พวกเขาจะเห็นความล้มเหลวเป็นโอกาสในการเรียนรู้ ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ว่าตัวเองไม่มีความสามารถ
ความคิดเปลี่ยนโลก - บทเรียนจากผู้นำอุตสาหกรรม
แนวคิดเรื่องพลังของความคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในโลกธุรกิจ Henry Ford ผู้ก่อตั้งบริษัท Ford Motor ที่ปฏิวัติอุตสาหกรรมยานยนต์โลก เคยกล่าวคำพูดที่กลายเป็นคติธรรมสำหรับนักธุรกิจรุ่นหลังว่า "Whether you think you can, or you think you can't – you're right" (ไม่ว่าคุณจะคิดว่าทำได้หรือทำไม่ได้ คุณก็ถูกแล้ว)
นักจิตวิทยาการพัฒนาตัวเองหลายคนเชื่อว่า ประโยคนี้สะท้อนถึงความจริงพื้นฐานของการใช้ชีวิต ความเชื่อและทัศนคติของเรามีอิทธิพลอย่างมากต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
"ทัศนคติไม่ใช่แค่การคิดในใจ แต่เป็นตัวกำหนดการกระทำ การตัดสินใจ และแม้แต่การมองเห็นโอกาส" ดร.สมชาย วงศ์วิทยา นักจิตวิทยาคลินิกและผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาบุคลิกภาพ อธิบายถึงความสำคัญของ mindset ในการใช้ชีวิต
3 หลักคิดเปลี่ยนชีวิต ที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ
จากการศึกษาพฤติกรรมของผู้ประสบความสำเร็จในหลากหลายสาขา นักจิตวิทยาและโค้ชชีวิตหลายคนได้รวบรวมหลักคิดที่สำคัญที่สุด 3 ประการ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ
1. การรับผิดชอบต่อชีวิตตัวเอง 100% - หลักคิดที่ปลดล็อกศักยภาพ
หลักคิดแรกที่ผู้เชี่ยวชาญให้ความสำคัญสูงสุดคือ การรับผิดชอบต่อชีวิตตัวเอง 100% แม้จะฟังดูหนักหน่วงและเป็นภาระ แต่จริงๆ แล้วเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพที่แท้จริงของตัวเรา
"การรับผิดชอบต่อชีวิต 100% ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของคุณ แต่หมายความว่าคุณมีอำนาจในการเลือกวิธีตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น" ดร.วิชัย สุขใส นักจิตวิทยาองค์กรและผู้เขียนหนังสือเรื่องการพัฒนาตนเอง อธิบาย
การใช้หลักคิดนี้ในชีวิตประจำวันหมายถึงการเปลี่ยนมุมมองจาก "ทำไมต้องเป็นฉัน" เป็น "ฉันจะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไร" เมื่อเผชิญกับปัญหาหรือความท้าทาย
ตยอดยางที่ชัดเจนคือในสถานการณ์การทำงาน เมื่อโปรเจกต์ล้มเหลว แทนที่จะโทษลูกค้าที่เปลี่ยนใจ โทษผู้จัดการที่วางแผนไม่ดี หรือโทษทีมที่ทำงานไม่เต็มที่ ผู้ที่มีหลักคิดรับผิดชอบ 100% จะถามตัวเองว่า "ฉันสามารถทำอะไรได้บ้างในครั้งหน้าให้ผลลัพธ์ดีขึ้น"
นักจิตวิทยาหลายคนเปรียบเทียบหลักคิดนี้กับการเป็นกัปตันเรือ กัปตันที่ดีจะไม่โทษพายุที่พัดมา โทษคลื่นที่ซัด หรือโทษลูกเรือที่ทำผิดพลาด แต่จะมุ่งเน้นไปที่การนำเรือผ่านวิกฤตไปให้ได้
2. การโฟกัสในสิ่งที่ควบคุมได้ - เทคนิคการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
หลักคิดที่สองมาจากปรัชญาของนักปราชญ์โบราณ แต่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบัน นั่นคือการแบ่งแยกสิ่งต่างๆ ในชีวิตออกเป็น 2 ประเภท สิ่งที่ควบคุมได้ และสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
Stephen Covey นักเขียนหนังสือ "The 7 Habits of Highly Effective People" เรียกแนวคิดนี้ว่า "Circle of Influence vs Circle of Concern" ซึ่งอธิบายว่า คนที่ประสบความสำเร็จจะโฟกัสพลังงานส่วนใหญ่ไปที่วงกลมแห่งอิทธิพล (สิ่งที่ควบคุมได้) มากกว่าวงกลมแห่งความกังวล (สิ่งที่ควบคุมไม่ได้)
"การรู้จักแยกแยะสิ่งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้เป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยลดความเครียดและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน" ดร.ปรียา มานะดี นักจิตวิทยาคลินิกจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าว
ในทางปฏิบัติ หลักคิดนี้หมายถึงการลงทุนเวลาและพลังงานไปกับสิ่งต่างๆ เช่น ทักษะของตัวเอง ความรู้ความสามารถ การเลือกสรรเพื่อน การวางแผนชีวิต การดูแลสุขภาพ และการควบคุมอารมณ์
แทนที่จะใช้เวลาไปกับการบ่นเรื่องเศรษฐกิจ นโยบายรัฐบาล สภาพอากาศ หรือการกระทำของคนอื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ ผู้ที่ใช้หลักคิดนี้จะมุ่งเน้นไปที่การปรับตัวและหาโอกาสใหม่ๆ
ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ แทนที่จะโทษสถานการณ์ภายนอก คนที่ประสบความสำเร็จจะใช้เวลาไปกับการเรียนรู้ทักษะใหม่ การสร้างเครือข่าย การหาแหล่งรายได้เสริม หรือการประหยัดค่าใช้จ่าย
3. การเรียนรู้เพื่อไม่รู้ - ปรากฏการณ์ Dunning-Kruger และการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
หลักคิดที่สามอาจฟังดูขัดแย้งในตัวเอง แต่เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาตนเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นั่นคือ การเรียนรู้เพื่อที่จะรู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลย
แนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่เรียกว่า Dunning-Kruger Effect ซึ่งค้นพบโดยนักจิตวิทยา David Dunning และ Justin Kruger จากมหาวิทยาลัย Cornell ในปี 1999
"Dunning-Kruger Effect อธิบายว่าทำไมคนที่มีความรู้น้อยในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมักจะประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินจริง ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงกลับมีความระมัดระวังและถ่อมตัวมากกว่า" ดร.สุรชัย ปัญญาดี นักจิตวิทยาการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบาย
ปรากฏการณ์นี้เปรียบได้กับการปีนเขา ตอนที่อยู่ที่เชิงเขา เราอาจมองเห็นยอดเขาและคิดว่าใกล้แล้ว แต่พอปีนขึ้นไปถึงจุดนั้น กลับพบว่ามียอดเขาที่สูงกว่ารออยู่อีก ยิ่งปีนสูงขึ้น ยิ่งเห็นว่ามีภูเขาอีกมากมายที่ยังไม่ได้สำรวจ
ในโลกของการทำงานและการประกอบธุรกิจ หลักคิดนี้มีความสำคัญอย่างมาก ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จมักจะไม่หยุดเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็น Elon Musk ที่ยังคงอ่านหนังสือและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ หรือ Warren Buffett ที่อายุ 90 กว่าปีแล้วยังคงอ่านหนังสือวันละ 500 หน้า
กลไกการทำงานร่วมกันของ 3 หลักคิด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาตนเองเปรียบเทียบการทำงานของทั้งสามหลักคิดนี้เหมือนฟันเฟืองในเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงชีวิต
"การรับผิดชอบต่อชีวิต 100% จะสร้างพลังในการเปลี่ยนแปลง การโฟกัสในสิ่งที่ควบคุมได้จะช่วยนำพลังนั้นไปใช้ในทิศทางที่ถูกต้อง และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจะทำให้การพัฒนาไม่มีที่สิ้นสุด" ดร.อุดม สุขสันต์ นักจิตวิทยาการพัฒนาบุคลิกภาพ สรุป
การนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เริ่มต้นด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีคิดทีละขั้นตอน ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในทีเดียว
สำหรับการรับผิดชอบต่อชีวิต 100% เริ่มจากการสังเกตภาษาที่ใช้พูดกับตัวเอง เมื่อเกิดปัญหา แทนที่จะใช้คำว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน" หรือ "นี่เป็นความผิดของใคร" ลองเปลี่ยนเป็น "ฉันสามารถทำอะไรได้บ้างกับสถานการณ์นี้"
สำหรับการโฟกัสในสิ่งที่ควบคุมได้ สามารถเริ่มจากการเขียนรายการสิ่งที่กำลังกังวลอยู่ แล้วแบ่งออกเป็น 2 คอลัมน์ สิ่งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ จากนั้นมุ่งเน้นไปที่การวางแผนและปฏิบัติเฉพาะในคอลัมน์แรกเท่านั้น
สำหรับการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการตั้งเป้าหมายให้ตัวเองเรียนรู้สิ่งใหม่อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง อาจเป็นการอ่านบทความ ดูวิดีโอสอน หรือฟังพอดแคสต์ในหัวข้อที่สนใจ
ข้อควรระวังและอุปสรรค
แม้ว่าหลักคิดเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการปรับเปลี่ยนวิธีคิดไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในข้ามคืน และมีอุปสรรคหลายประการที่ควรระวัง
"อุปสรรคหลักคือการต่อต้านจากสมองเราเอง เพราะสมองเรามีกลไกป้องกันการเปลี่ยนแปลงเพื่อประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ สังคมและคนรอบข้างที่ยังคงมีวิธีคิดแบบเดิมอาจเป็นอุปสรรคได้เช่นกัน" ดร.ศิริ วรรณา นักจิตวิทยาการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เตือน
การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความอดทนและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการหาแหล่งสนับสนุนที่เหมาะสม เช่น การอ่านหนังสือ การเข้าร่วมกลุ่มพัฒนาตนเอง หรือการหาพี่เลี้ยงชีวิต (Life Coach) ที่มีประสบการณ์
ผลกระทบระยะยาวต่อสังคม
นักสังคมวิทยาเชื่อว่า หากคนในสังคมมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิดตามหลักการเหล่านี้ จะส่งผลดีต่อสังคมโดยรวม เนื่องจากจะมีคนที่รับผิดชอบตัวเองมากขึ้น ลดการโทษภาพคนอื่น และมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาแทนการบ่นเรื่อง
"เมื่อคนในสังคมเปลี่ยนจากการเป็น 'เหยื่อของสถานการณ์' เป็น 'ผู้สร้างสถานการณ์' สังคมจะมีพลังในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้มากขึ้น" ดร.วิไล สมบูรณ์ นักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงใหญ่จะต้องเริ่มจากตัวบุคคล การที่แต่ละคนเริ่มปรับเปลี่ยนวิธีคิดของตัวเองก็เหมือนการโยนก้อนหินลงในบ่อน้ำ ซึ่งจะสร้างคลื่นกระเพื่อมไปยังคนรอบข้างและขยายวงออกไปเรื่อยๆ
การวิจัยและงานศึกษาต่างๆ ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในชีวิตไม่ได้เริ่มต้นจากการมีทรัพยากรมากขึ้น แต่เริ่มจากการมีวิธีคิดที่ถูกต้อง ทั้งสามหลักคิดที่กล่าวมานี้ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นเครื่องมือปฏิบัติที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้ทันที หากมีความมุ่งมั่นและความอดทนในการฝึกฝน