การทำงานหนักและการรอจังหวะเวลาที่เหมาะสม คือกุญแจสำคัญที่จะเปิดประตูสู่ความสำเร็จ โดยไม่ต้องรอให้ชีวิตเดินหน้าแบบเรื่อยๆ โดยไม่มีทิศทาง
ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจและการงานมีความรุนแรงมากขึ้น หลายคนยังคงติดอยู่ในกรอบความคิดแบบเดิมๆ ที่คิดว่าการทำงานไปวันๆ แบบสบายๆ จะพาตัวเองไปสู่ความสำเร็จ แต่ความจริงแล้ว หากต้องการผลลัพธ์ที่แตกต่างจากเดิม เราจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานและแนวคิดของตัวเองให้แตกต่างจากคนส่วนใหญ่
ทำไมการทำงานหนักจึงเป็นหัวใจของความสำเร็จ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาตนเองและนักวิเคราะห์ธุรกิจชี้ให้เห็นว่า การทำงานแบบเรื่อยๆ โดยไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนนั้น เป็นเหมือนการเดินไปบนเส้นทางที่ไม่มีจุดหมายปลายทาง ในขณะที่การทำงานหนักอย่างมีสติและมีทิศทางจะช่วยให้เราเข้าใกล้เป้าหมายได้เร็วขึ้น
การเป็นคนส่วนน้อยที่ประสบความสำเร็จเร็วกว่าคนอื่นๆ นั้น มักมาจากการมีวิธีคิดและวิธีการทำงานที่แตกต่างจากคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยอมทำงานหนักในช่วงเวลาที่คนอื่นไม่ทำงาน หรือการลงทุนเวลาและความพยายามมากกว่าที่คนอื่นๆ ยอมทำ
นักจิตวิทยาการพัฒนาตนเองระบุว่า "ไม่มีใครได้รับผลลัพธ์ใหม่จากการทำงานแบบเดิม" ดังนั้น หากเราต้องการความสำเร็จที่แตกต่าง เราจำเป็นต้องยอมแลกเวลาเพื่อกัดฟันทำงานหนักมากกว่าเดิม
สองปัจจัยสำคัญที่กั้นเป้าหมายจากความสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม การทำงานหนักเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ผู้เชี่ยวชาญได้ระบุว่า มีสองสิ่งสำคัญที่มักจะกั้นเป้าหมายของเราจากความสำเร็จ ได้แก่ "ความสามารถ" และ "จังหวะเวลา"
ความสามารถ - รากฐานของความสำเร็จ
ความสามารถที่เรามี ความรู้ที่เราได้สะสม และทักษะที่เราได้พัฒนา สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดวิธีคิดและวิธีการทำงานของเรา ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกับที่ผู้ประสบความสำเร็จหลายคนได้ผ่านมา
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้งบริษัท Tesla และ SpaceX เขายอมรับว่า ในช่วงแรกของการสร้างบริษัท Tesla เขาเคยนำถุงนอนไปนอนที่โรงงานเพื่อตรวจสอบคุณภาพของรถยนต์ในสายพานการผลิต และทำงานหนักถึงวันละ 17 ชั่วโมง เพื่อให้บริษัทประสบความสำเร็จ
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ กว่าที่เขาจะสร้างบริษัท Tesla ได้สำเร็จ อีลอน มัสก์ ได้ผ่านการสร้างบริษัทมาแล้วหลายบริษัท อาทิ Zip2 และ PayPal รวมถึงโปรเจกต์ SpaceX ด้วย
การที่เขาสามารถสร้างบริษัทต่างๆ ได้สำเร็จนั้น เพราะเขาได้ศึกษาและพัฒนาความรู้ในหลากหลายสาขา ทั้งศาสตร์การบริหาร วิศวกรรม วิทยาศาสตร์ และการเขียนโปรแกรม
ดังนั้น แม้ว่าการทำงานหนักในเวลาที่คนอื่นหยุดพักจะช่วยให้บริษัทของอีลอน มัสก์ ดำเนินการและพัฒนาต่อไปได้ แต่สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งคือ เขาต้องมีความรู้และความสามารถเพื่อสร้างแต่ละบริษัทให้ประสบความสำเร็จ
จังหวะเวลา - โอกาสทองที่ต้องคว้า
แม้ว่าเราจะมีความสามารถและทำงานหนักมากเพียงใด หากจังหวะเวลาไม่เหมาะสม ความสำเร็จที่เราฝันไว้ก็อาจจะยังไม่เคาะประตูหาเรา
นักวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์ชี้ให้เห็นว่า เราทุกคนมีทรัพย์สินด้านเวลาประมาณ 4,000 กว่าสัปดาห์ในชีวิต และในช่วงเวลา 4,000 กว่าสัปดาห์นี้เอง มีจังหวะเวลาและโอกาสต่างๆ ซ่อนอยู่มากมาย
แต่หากเราทำงานแบบเรื่อยๆ และรอให้เวลาผ่านไปเพื่อให้เป้าหมายที่สำเร็จเดินมาหา เราอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิต เพราะจังหวะเวลาในการคว้าโอกาสนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถที่เรามี และความสามารถที่เรามีเกิดขึ้นจากการ "ทำงานหนักจนมีทักษะที่เชี่ยวชาญ"
เรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจ: จากคนไร้บ้านสู่เศรษฐีล้านดอลลาร์
หนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการทำงานหนักและการรอจังหวะเวลาที่เหมาะสม คือเรื่องราวของ คริส การ์ดเนอร์ ผู้ที่ภายหลังกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับภาพยนตร์ดังอย่าง "The Pursuit of Happyness"
คริส การ์ดเนอร์ เริ่มต้นชีวิตในซานฟรานซิสโกด้วยการเป็นเซลล์ขายเครื่องมือแพทย์ แต่ธุรกิจไม่ได้รุ่งเรืองอย่างที่เขาคาดหวัง รายได้จากการขายที่ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ทำให้เขามักจะทะเลาะกับภรรยา จนในที่สุดภรรยาก็ทิ้งเขาและลูกไป
ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด
ด้วยสภาพทางการเงินที่แย่ลง ทำให้เขาและลูกไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้อง จนต้องไปนอนในห้องน้ำสาธารณะและขออาหารจากสวัสดิการสำหรับคนไร้บ้าน
ในแต่ละวัน คริส การ์ดเนอร์ ต้องรับส่งลูกที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก พร้อมกับทำงานเป็นเซลล์ขายเครื่องมือแพทย์เพื่อหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว แม้จะอยู่ในสภาพที่ยากลำบาก แต่เขายังคงมีความเชื่อเล็กๆ ที่ว่า "ทุกอย่างมันจะต้องดีขึ้น"
จังหวะเวลาที่เปลี่ยนชีวิต
ความโชคดีเล็กๆ ได้เกิดขึ้นในชีวิตของคริส การ์ดเนอร์ ขณะที่เขากำลังนั่งบนรถแท็กซี่ เขาได้พบกับผู้บริหารจากบริษัทนายหน้าขายหุ้น ดีน วินเทอร์ เรย์โนลด์
ผู้บริหารคนนั้นเห็นถึงความสามารถของคริส การ์ดเนอร์ ในด้านตัวเลข จึงเสนอให้เขาไปสัมภาษณ์งานเป็นนายหน้าขายหุ้นที่บริษัท นี่เองคือจังหวะเวลาที่สร้างโอกาสให้คริส การ์ดเนอร์ ได้รับความรู้และความสามารถในการสร้างบริษัทนายหน้าค้าหุ้นของตัวเอง
ภายหลัง เขากลายเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจที่มีชื่อเสียง และเรื่องราวของเขาถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ที่โด่งดังระดับโลก
บทเรียนจากความสำเร็จ
เรื่องราวของคริส การ์ดเนอร์ สอนให้เรารู้ว่า หากเรามีความเชื่อและมุ่งมั่นในการทำงานหนัก พร้อมทั้งรอจังหวะการคว้าโอกาสให้ดี โอกาสที่เราคว้าไว้ได้อาจเปลี่ยนชีวิตของเราไปตลอดกาล
การทำงานหนักรวมถึงการรอจังหวะเวลา ไม่ได้ช่วยให้ความสำเร็จมาหาเราเร็วขึ้น แต่เป็นเราเองที่กำลังวิ่งไปหาความสำเร็จได้เร็วขึ้น
สูตรลับของการทำงานหนักเพื่อความสำเร็จ
จากการศึกษาเรื่องราวของผู้ประสบความสำเร็จต่างๆ ผู้เชี่ยวชาญได้สรุปสูตรลับของการทำงานหนักเพื่อประสบความสำเร็จไว้ดังนี้
ประการแรก "จงทำงานหนักเพื่อพัฒนาความสามารถ" การลงทุนเวลาและความพยายามในการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ การพัฒนาความรู้ในสาขาที่เราสนใจ และการสร้างความเชี่ยวชาญในงานที่เราทำ จะเป็นรากฐานสำคัญที่จะพาเราไปสู่ความสำเร็จ
ประการที่สอง "ทำงานหนักเพื่อรอจังหวะเวลาที่จะคว้าโอกาสไว้" การเตรียมตัวให้พร้อมและการมีความอดทนในการรอคอยโอกาสที่เหมาะสม จะช่วยให้เราสามารถคว้าโอกาสได้เมื่อมันมาถึง
การแซงหน้าคนส่วนใหญ่
แม้ว่าในตอนนี้เป้าหมายของเราอาจจะยังไม่สำเร็จ แต่การทำงานหนักอย่างต่อเนื่องและการพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง จะทำให้เราเก่งขึ้นจนสามารถแซงหน้าคนส่วนใหญ่ได้อย่างแน่นอน
นักจิตวิทยาการพัฒนาตนเองเสริมว่า "ความแตกต่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จกับคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้อยู่ที่ความสามารถเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ความมุ่งมั่นในการทำงานหนักและการรู้จักรอคอยจังหวะเวลาที่เหมาะสม"
ข้อสรุป: เปลี่ยนแนวคิดเพื่อเปลี่ยนชีวิต
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การทำงานแบบเรื่อยๆ โดยไม่มีทิศทางจะไม่สามารถพาเราไปสู่ความสำเร็จได้ การยอมทำงานหนักเพื่อให้เป้าหมายวิ่งมาหา ต้องการทั้งการพัฒนาความสามารถและการรอจังหวะเวลาที่เหมาะสม
ดังนั้น แทนที่จะทำงานไปวันๆ แล้วปล่อยให้ชีวิตยังอยู่ "ที่เดิม" เราควรเริ่มต้นปรับเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีการทำงานของเราให้แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ เพื่อที่เราจะได้เป็นคนส่วนน้อยที่ประสบความสำเร็จเร็วกว่าที่คาดไว้
การเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะไม่ง่าย แต่หากเรามีความมุ่งมั่นและความอดทน เราจะพบว่าความสำเร็จที่เราฝันไว้จะไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อม แต่อยู่ในมือของเราเองที่จะไปคว้ามันมา