บทเรียนเล็กๆ ในห้องเรียนที่กลายเป็นหลักการใหญ่ เปิดประตูโอกาสที่ถูกมองข้ามและสร้างความสำเร็จในโลกธุรกิจ
ในโลกของการศึกษาธุรกิจระดับโลก มีเรื่องราวที่น่าทึ่งเกิดขึ้นที่โรงเรียนธุรกิจ Wharton ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาด้านธุรกิจที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก เรื่องราวที่เริ่มต้นจากธนบัตร 5 ดอลลาร์ใบเล็กๆ กลับกลายเป็นบทเรียนชีวิตที่มีพลังเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของคนหนึ่งจากนักศึกษาธรรมดาสู่ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก
เรื่องราวนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความสำคัญของการมองเห็นโอกาสที่อยู่ตรงหน้า แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนนับล้านทั่วโลกที่กำลังมองหาทางสู่ความสำเร็จในชีวิตและการงาน
จุดเริ่มต้นของบทเรียนแห่งโอกาส
ในห้องเรียนวิชาการเงินแห่งหนึ่งที่โรงเรียนธุรกิจ Wharton มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ได้เกิดเหตุการณ์ที่ดูเรียบง่ายแต่กลับมีนัยสำคัญอย่างยิ่ง ศาสตราจารย์ประจำวิชาได้นำธนบัตร 5 ดอลลาร์ใบใหม่เอี่ยมมาแปะไว้บนกระดานไวท์บอร์ดหน้าห้องเรียน โดยไม่ได้บอกจุดประสงค์หรือคำอธิบายใดๆ เพิ่มเติม
วันแล้ววันเล่า ธนบัตรใบนั้นยังคงอยู่ที่เดิมบนกระดาน แม้ว่านักศึกษาทุกคนในห้องจะเห็นมันอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปหยิบเอา เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการไม่กระทำนี้คือความคิดเดียวกันที่เกิดขึ้นในใจของนักศึกษาทุกคน นั่นคือการสันนิษฐานไปเองว่าธนบัตรใบนั้นต้องเป็นของคนอื่น หรือเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองทางจิตวิทยาที่ตนเองไม่ทราบรายละเอียด
สถานการณ์นี้ดำเนินต่อไปเป็นเวลาหลายสัปดาห์ จนกระทั่งในคาบเรียนที่สี่ นักศึกษาหญิงคนหนึ่งได้รวบรวมความกล้าหาญและความอยากรู้อยากเห็น เธอยกมือขึ้นและถามคำถามที่ทุกคนในห้องคิดแต่ไม่กล้าถาม
“ศาสตราจารย์คะ ทำไมถึงมีเงิน 5 ดอลลาร์แปะอยู่บนกระดานคะ?” เสียงของเธอดังขึ้นในห้องเรียนที่เงียบสนิท
เมื่อศาสตราจารย์ได้ยินคำถามนี้ เขาจึงเดินไปที่กระดานด้วยรอยยิ้ม ดึงธนบัตรใบนั้นออกมาอย่างช้าๆ แล้วยื่นให้กับนักศึกษาหญิงคนนั้นทันที ก่อนจะหันมาหากลุ่นักศึกษาและกล่าวประโยคที่จะกลายเป็นบทเรียนชีวิตที่มีคุณค่ายิ่งกว่าเงิน 5 ดอลลาร์นั้นเสียอีก
“อย่าทึกทักเอาเองว่าเงินนั้นเป็นของคนอื่น” (Never assume the money is someone else’s) ศาสตราจารย์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหมาย
การเกิดของ ‘กฎธนบัตร 5 ดอลลาร์’
ประโยคสั้นๆ แต่ทรงพลังนี้ได้ฝังลึกเข้าไปในใจของนักศึกษาคนหนึ่งในห้องเรียนวันนั้น นั่นคือ Devo Harris ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นเพียงนักศึกษาธรรมดาคนหนึ่งที่กำลังเรียนรู้เกี่ยวกับการเงินและธุรกิจ แต่บทเรียนเล็กๆ นี้กลับกลายเป็นเข็มทิศนำทางชีวิตของเขาในอนาคต
Devo Harris ได้นำหลักการนี้ไปปรับใช้กับชีวิตและการงานของเขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาสามารถมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองข้าม และกล้าที่จะลงมือทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ ผลลัพธ์ที่ตามมาคือความสำเร็จในหลากหลายสาขาอาชีพ
ในช่วงแรกของอาชีพการงาน Devo Harris ได้กลายเป็นโปรดิวเซอร์เพลงมือทองที่มีชื่อเสียงในแวดวงดนตรี เขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของศิลปินระดับโลกอย่าง John Legend และเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานเพลงที่กลายเป็นเพลงฮิตมากมาย การประสบความสำเร็จในวงการดนตรีนี้เกิดขึ้นเพราะเขากล้าที่จะคว้าโอกาสที่คนอื่นมองว่าเป็นไปไม่ได้หรือไม่คุ้มค่า
หลังจากประสบความสำเร็จในวงการดนตรี Devo Harris ได้ผันตัวมาเป็นผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี โดยยังคงใช้หลักการเดียวกันในการมองหาโอกาสที่ถูกมองข้าม ความสามารถในการเห็นโอกาสที่คนอื่นไม่เห็นทำให้เขาสามารถสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในหลายสาขา
‘กฎธนบัตร 5 ดอลลาร์’ นี้จึงกลายเป็นหลักการสำคัญที่นำทางความคิดสร้างสรรค์และการตัดสินใจของเขาตลอดเส้นทางอาชีพ และเป็นบทเรียนที่สามารถปลดล็อกโอกาสมหาศาลให้กับทุกคนที่เข้าใจแก่นแท้ของมัน
โอกาสที่ถูกมองข้าม : ปรากฏการณ์สากลในโลกธุรกิจ
บทเรียนจากเงิน 5 ดอลลาร์ไม่ได้สร้างแรงบันดาลใจอยู่แค่ในห้องเรียน แต่ยังสามารถนำมาปรับใช้ได้กับทุกแง่มุมของธุรกิจและชีวิต เมื่อเราลองมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ เราจะพบว่าการมองข้ามโอกาสที่อยู่ตรงหน้าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
คำถามที่น่าสนใจคือ “ทำไมไอเดียดีๆ ถึงไม่มีใครทำ?” เป็นเรื่องน่าแปลกที่มนุษย์เรามักมีจุดบอดร่วมกันในการมองข้ามไอเดียที่ดู ‘เรียบง่าย’ หรือ ‘ชัดเจนเกินไป’ ตัวอย่างที่น่าทึ่งคือการใช้กระเป๋าในการพกพาสิ่งของที่มนุษย์ใช้มานานกว่า 5,000 ปี แต่เพิ่งจะมีคนคิดค้น ‘กระเป๋าเสื้อ’ เมื่อ 500 ปีก่อนเท่านั้น
เช่นเดียวกับแนวคิดเรื่อง ‘ล้อ’ ที่มีมาแต่โบราณและถือเป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญที่สุดของมนุษยชาติ แต่กว่าจะมีคนนำมาติดกับกระเป๋าเดินทางเพื่อความสะดวกในการลาก ก็ล่วงเลยมาถึงปี 1972 ซะแล้ว ทั้งที่แนวคิดนี้ดูเรียบง่ายและสมเหตุสมผลมาก
ตัวอย่างที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือชาว Aztecs ในอดีตที่ใช้ล้อกับของเล่นเด็ก แต่กลับไม่เคยนำมาประยุกต์ใช้กับยานพาหนะสำหรับผู้ใหญ่เลย แม้ว่าเทคโนโลยีและความรู้จะมีอยู่แล้วก็ตาม ปรากฏการณ์เหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มเดียวกันของมนุษย์ในการทึกทักไปเองว่า “ถ้าไอเดียนี้มันดีจริง ต้องมีคนทำไปแล้วสิ”
นวัตกรรมในยุคปัจจุบัน : เมื่อโอกาสซ่อนอยู่ในสิ่งที่เห็นได้ชัด
ปรากฏการณ์การมองข้ามโอกาสนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของนวัตกรรมหลายๆ อย่างในยุคปัจจุบันอีกด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ ‘Airbnb’ ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน
โอกาสทางธุรกิจของ Airbnb ซ่อนอยู่ในสิ่งที่เห็นได้ชัดมานานหลายทศวรรษ นั่นคือห้องว่างนับล้านในบ้านของผู้คนทั่วโลก และนักเดินทางที่ต้องการที่พักราคาประหยัดและมีความเป็นส่วนตัวมากกว่าโรงแรม ความต้องการทั้งสองด้านนี้มีอยู่จริงและชัดเจน แต่ไม่มีใครเชื่อมโยงให้เกิดเป็นธุรกิจ
อุตสาหกรรมโรงแรมที่มีประสบการณ์หลายร้อยปีกลับมองข้ามสิ่งนี้ไปโดยสิ้นเชิง เพราะผู้เชี่ยวชาญในวงการ ‘ทึกทัก’ ไปเองว่า การนอนในบ้านของคนแปลกหน้านั้นไม่ปลอดภัย ไม่มีมาตรฐาน และเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการให้เป็นระบบที่ใหญ่และเชื่อถือได้ โดยทุกคนต่างคิดว่าหากนี่คือธุรกิจที่ทำได้จริงและมีกำไร เครือโรงแรมยักษ์ใหญ่อย่าง Hilton หรือ Marriott ก็คงจะทำกันไปนานแล้ว
แต่ผู้ก่อตั้งอย่าง Brian Chesky และ Joe Gebbia ซึ่งเป็นนักศึกษาสถาปัตยกรรมสองคนไม่ได้คิดเช่นนั้น พวกเขาไม่ได้ทึกทักว่าโอกาสนั้นเป็นของคนอื่น หรือเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พวกเขาได้เริ่มต้นจากการปล่อยเช่าที่นอนลม 3 หลังในอพาร์ตเมนต์ของตัวเองในซานฟรานซิสโก เพื่อหาเงินค่าเช่าบ้าน
การกล้าที่จะคว้าโอกาสที่ทุกคนมองข้ามในวันนั้น ได้ก่อให้เกิดแพลตฟอร์มที่เข้ามาพลิกโฉมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการพักแรมไปตลอดกาล ปัจจุบัน Airbnb มีมูลค่าบริษัทกว่า 70,000 ล้านดอลลาร์ และให้บริการในกว่า 220 ประเทศทั่วโลก ทั้งหมดนี้เริ่มจากการไม่ยอมทึกทักว่าโอกาสที่อยู่ตรงหน้าเป็นของคนอื่น
การนำ ‘กฎธนบัตร 5 ดอลลาร์’ มาใช้ในชีวิตประจำวัน
Devo Harris ได้นำหลักการ ‘อย่าทึกทักเอาเองว่าเงินนั้นเป็นของคนอื่น’ มาใช้กับอาชีพของเขาโดยตรงและอย่างต่อเนื่อง ในฐานะโปรดิวเซอร์เพลง บางครั้งเขาเจอบีทเพลงที่สมบูรณ์แบบจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครเคยใช้มาก่อน หลายครั้งเขาเกือบจะไม่ลงมือทำเพราะคิดว่าต้องมีโปรดิวเซอร์คนอื่นที่เก่งกว่าเคยคิดแบบนี้แล้ว
แต่แทนที่จะลังเลเพราะกลัวว่าจะดูโง่หรือไร้ประสบการณ์ เขากลับเลือกที่จะลงมือทำตามสัญชาตญาณและความรู้สึกของตนเอง ผลลัพธ์ที่ตามมาคือไอเดียเหล่านั้นกลายเป็นเพลงฮิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา และเป็นจุดเริ่มต้นของชื่อเสียงในวงการดนตรี
เมื่อเขาผันตัวมาเป็นผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี เขายังคงใช้หลักการเดียวกัน การมองหาช่องว่างในตลาดที่คนอื่นมองข้าม การกล้าลงทุนในไอเดียที่ดูเรียบง่ายแต่มีประโยชน์ และการไม่ยอมให้ความกลัวว่า “ต้องมีคนคิดแล้ว” มาขัดขวางการลงมือทำ
ความคิดที่ว่า ‘คงมีคนทำไปแล้ว’ มักปิดกั้นโอกาสของเราในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ โดยที่เราอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น การที่เราไม่กล้าขอประชุมกับผู้บริหารระดับสูง เพราะคิดว่าต้องมีคนที่สำคัญกว่าเราได้ลองเสนอเรื่องนี้ไปแล้ว หรือการที่เราไม่กล้าเสนอไอเดียใหม่ๆ เพราะเชื่อว่าบริษัทใหญ่ๆ ต้องเคยคิดเรื่องนี้แล้วแน่นอน
การไม่กล้าแม้แต่จะสมัครงานในฝันเพราะทึกทักไปเองว่าต้องมีคนที่มีคุณสมบัติดีกว่าสมัครไปแล้วแน่ๆ ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการที่เราตัดตัวเองออกจากโอกาสก่อนที่จะได้ลอง หรือแม้กระทั่งการไม่กล้าเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ เพราะคิดว่าคนอื่นต้องทำกันแล้ว
จิตวิทยาของการมองข้ามโอกาส
การศึกษาทางจิตวิทยาพบว่า มนุษย์มีแนวโน้มที่จะคิดว่าคนอื่นรู้เรื่องมากกว่าตนเอง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่แน่ใจ ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “Diffusion of Responsibility” หรือการกระจายความรับผิดชอบ ซึ่งทำให้คนเรามักจะคิดว่าหากเป็นเรื่องสำคัญหรือมีคุณค่าจริง ต้องมีคนอื่นที่เหมาะสมกว่าดูแลเรื่องนั้นแล้ว
นอกจากนี้ยังมีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Status Quo Bias” หรือการมีอคติต่อสภาพที่เป็นอยู่ ซึ่งทำให้คนเรามักจะคิดว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้นมีเหตุผลที่ดี และการเปลี่ยนแปลงใดๆ จะเป็นการเสี่ยงที่ไม่คุ้มค่า
ปรากฏการณ์เหล่านี้รวมกันทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Somebody Else’s Problem” หรือ “ปัญหาของคนอื่น” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ว่าหากมีสิ่งใดที่ดูเหมือนจะเป็นโอกาสหรือปัญหาที่ชัดเจน แต่ไม่มีใครดูแล แสดงว่าต้องมีเหตุผลที่ดีที่ทำให้เป็นเช่นนั้น หรือต้องเป็นความรับผิดชอบของคนอื่นที่เหมาะสมกว่า
ตัวอย่างความสำเร็จจากการไม่ทึกทัก
ประวัติศาสตร์ธุรกิจเต็มไปด้วยตัวอย่างของผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จเพราะไม่ยอมทึกทักว่าโอกาสเป็นของคนอื่น Howard Schultz ผู้ก่อตั้ง Starbucks เห็นวัฒนธรรมการดื่มกาแฟของอิตาลีและคิดว่าคนอเมริกันต้องชอบแน่ๆ แม้ที่ปรึกษาหลายคนจะบอกว่าคนอเมริกันไม่ดื่มเอสเปรสโซ และหากไอเดียนี้ดีจริง บริษัทกาแฟใหญ่ๆ ก็คงจะทำไปแล้ว
Sara Blakely ผู้ก่อตั้ง Spanx เห็นปัญหาของการใส่ถุงน่องในวันที่อากาศร้อน และคิดว่าผู้หญิงคนอื่นๆ ต้องมีปัญหาเดียวกัน แม้ว่าอุตสาหกรรมแฟชั่นจะมีมานานหลายร้อยปี แต่ไม่มีใครแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง เธอได้สร้างบริษัทที่มีมูลค่ามหาศาลจากการแก้ปัญหาเล็กๆ ที่ทุกคนเห็นแต่ไม่มีใครแก้
Reed Hastings ผู้ก่อตั้ง Netflix เห็นว่าการเช่าหนังจากร้านวิดีโอนั้นไม่สะดวกและมีค่าปรับแพง เขาคิดว่าการส่งดีวีดีทางไปรษณีย์น่าจะตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีกว่า แม้ว่าอุตสาหกรรมให้เช่าหนังจะมีความเข้มแข็งและมีผู้เล่นใหญ่อย่าง Blockbuster ครองตลาด
วิธีการปฏิบัติตาม ‘กฎ 5 ดอลลาร์’ ในชีวิตจริง
‘กฎ 5 ดอลลาร์’ เป็นเครื่องเตือนใจที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังว่า หากเราเห็นโอกาสอันมีค่าอยู่ตรงหน้า อย่าด่วนสรุปว่ามันเป็นของคนอื่นไปแล้ว อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดมักจะเป็นความคิดของเราเอง ที่ตัดตัวเองออกจากการแข่งขันตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม
เพื่อให้สามารถนำหลักการนี้มาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรเริ่มจากการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับช่วงเวลาที่เราทึกทักไปเองว่าบางสิ่งเป็นของคนอื่น ลองสังเกตดูว่าเมื่อไหร่ที่เราคิดว่า “คงมีคนทำแล้ว” หรือ “คงไม่ใช่หน้าที่ของเรา” แล้วหยุดตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราแน่ใจหรือไม่
ขั้นตอนต่อไปคือการฝึกการตั้งคำถาม เช่นเดียวกับนักศึกษาหญิงในเรื่องราวของ Wharton แทนที่จะนั่งทึกทักไปเอง ลองถามดูว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไรกันแน่ บางครั้งเพียงแค่การถามคำถามเดียวก็สามารถเปิดประตูโอกาสที่ยิ่งใหญ่ได้
การลงมือทำในขนาดเล็กก่อนก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง แทนที่จะคิดใหญ่จนเกิดความกลัว ลองเริ่มจากสิ่งเล็กๆ เช่น การส่งอีเมลสอบถาม การโทรศัพท์ติดต่อ หรือการทำต้นแบบง่ายๆ หากมันใช้ได้ผล ก็ค่อยขยายผล หากไม่ได้ผล ก็ไม่ได้เสียอะไรมาก
ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยง
แม้ว่า ‘กฎ 5 ดอลลาร์’ จะเป็นหลักการที่ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรคว้าทุกโอกาสที่เห็น การใช้วิจารณญาณและการประเมินความเสี่ยงยังคงสำคัญ ควรมองหาโอกาสที่สอดคล้องกับความสามารถ ความสนใจ และเป้าหมายของเรา
การไม่เตรียมตัวเพียงพอก็เป็นข้อผิดพลาดที่พบบ่อย การกล้าคว้าโอกาสควรมาพร้อมกับการเตรียมความพร้อมด้านความรู้ ทักษะ และทรัพยากรที่จำเป็น การลงมือทำโดยไม่มีการเตรียมการอาจส่งผลให้โอกาสที่ดีกลายเป็นความล้มเหลว
การคาดหวังผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่จากทุกโอกาสก็เป็นอีกข้อผิดพลาดหนึ่ง ไม่ใช่ทุกโอกาสที่จะนำไปสู่ความสำเร็จระดับ Airbnb หรือ Starbucks บางครั้งโอกาสเล็กๆ อาจนำไปสู่ประสบการณ์ที่มีค่า การเรียนรู้ใหม่ หรือการสร้างเครือข่ายที่เป็นประโยชน์ในอนาคต
การมองโลกในมุมของโอกาส
นักฮอกกี้ในตำนานอย่าง Wayne Gretzky เคยกล่าวไว้ว่า “คุณจะพลาดช็อตที่คุณไม่ได้ยิง 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม” คำพูดนี้สะท้อนถึงแก่นแท้ของ ‘กฎ 5 ดอลลาร์’ อย่างสมบูรณ์แบบ เช่นเดียวกัน เราจะไม่มีทางทำให้ไอเดียเป็นจริงได้เลยแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว หากเราไม่เคยลงมือทำมัน
การมองโลกในมุมของโอกาสต้องอาศัยการฝึกฝนและการเปลี่ยนมุมมอง แทนที่จะคิดว่า “ทำไมไม่มีใครทำ” ลองเปลี่ยนเป็น “ทำไมฉันถึงไม่ลองทำดู” แทนที่จะคิดว่า “คงเป็นของคนอื่น” ลองคิดว่า “ลองดูซิว่าเป็นอย่างไร”
การสร้างนิสัยในการถามคำถามและการสำรวจโอกาสจะช่วยให้เราเห็นโอกาสที่อื่นมองข้าม การอ่านหนังสือ การเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ การพูดคุยกับคนที่หลากหลาย และการเปิดใจรับฟังแนวคิดใหม่ๆ ล้วนช่วยขยายมุมมองและเพิ่มโอกาสในการเห็นสิ่งที่คนอื่นมองข้าม
บทสรุป : การคว้าโอกาสในยุคดิจิทัล
ในยุคดิจิทัลปัจจุบัน โอกาสมีอยู่ทุกหนทุกแห่งมากกว่าที่เคย เทคโนโลยีได้ลดต้นทุนในการเริ่มต้นธุรกิจ เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูล และสร้างช่องทางใหม่ๆ ในการสร้างคุณค่า แต่ในขณะเดียวกัน การแข่งขันก็รุนแรงขึ้น และข้อมูลที่ล้นหลามอาจทำให้เราสับสนได้
‘กฎ 5 ดอลลาร์’ ยิ่งมีความเกี่ยวข้องในยุคนี้ เพราะโอกาสที่แท้จริงมักจะซ่อนอยู่ในสิ่งที่ดูเรียบง่ายและชัดเจน ไม่ใช่ในเทคโนโลยีที่ซับซ้อนหรือแนวคิดที่วิจิตรแปลก การแก้ปัญหาง่ายๆ ที่ผู้คนเจอในชีวิตประจำวัน การทำให้สิ่งที่มีอยู่แล้วดีขึ้น หรือการเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกันในรูปแบบใหม่ มักจะเป็นแหล่งของโอกาสที่ยิ่งใหญ่
ดังนั้น ถ้าเห็น ‘ธนบัตร 5 ดอลลาร์’ วางอยู่ตรงหน้าในครั้งต่อไป ไม่ว่าเป็นไอเดียธุรกิจที่ดูเรียบง่าย โอกาสในการสร้างคอนเนคชันกับคนสำคัญ ตำแหน่งงานในฝันที่ดูเหมือนจะสูงเกินตัว หรือโครงการที่ต้องการอาสาสมัคร อย่างน้อยที่สุด ลองเอื้อมมือออกไปและตรวจสอบดูว่าเราจะสามารถทำให้มันเป็นของเราได้หรือไม่
เพราะไม่ใช่ทุกโอกาสที่จะลงเอยด้วยความสำเร็จระดับโลก แต่โอกาสที่จะสำเร็จจะเป็นศูนย์ทันทีถ้าเราไม่เคยลอง และในการลองทำนั้น เราจะได้เรียนรู้ สร้างประสบการณ์ และเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ที่อาจนำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เราเคยจินตนาการไว้
เหมือนกับที่เจ้าสัวคณิณในภาพยนตร์ ‘สงครามส่งด่วน’ บอกกับสันติเอาไว้ว่า “เงินอยู่ในอากาศ ขึ้นอยู่กับว่า คุณจะคว้ามันได้หรือเปล่า?” บทเรียนจาก ‘กฎธนบัตร 5 ดอลลาร์’ สอนเราว่า โอกาสอยู่รอบตัวเรา ขึ้นอยู่กับว่าเราจะกล้าเอื้อมมือไปคว้ามันหรือไม่ แทนที่จะนั่งทึกทักไปเองว่ามันเป็นของคนอื่น