กรุงเทพมหานครได้ประกาศข้อบัญญัติใหม่เกี่ยวกับการควบคุมการเลี้ยงและปล่อยสัตว์ พ.ศ. 2567 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 มกราคม 2569 ข้อบัญญัตินี้เกิดขึ้นจากนโยบายของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อแก้ไขปัญหาสัตว์จรจัด สร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อย และป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า โดยมีเป้าหมายหลักคือการขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยงตลอดช่วงชีวิต และจัดระเบียบสัตว์จรจัดอย่างเป็นระบบ
เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 รองศาสตราจารย์ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมในการบังคับใช้ข้อบัญญัติฉบับนี้ พร้อมด้วยผู้แทนจากสำนักงานสัตวแพทย์สาธารณสุข สำนักอนามัย สมาคมสงเคราะห์สัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสมาคมพิทักษ์สัตว์ไทย
ข้อกังวลของเจ้าของสัตว์เลี้ยง
รองผู้ว่าฯ ทวิดา ได้ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับความกังวลของประชาชนที่มีการเลี้ยงสุนัขและแมวอยู่แล้ว โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการจำกัดจำนวนสัตว์เลี้ยงตามพื้นที่ โดยชี้แจงว่า ตามหลักการทางกฎหมาย ข้อบัญญัตินี้จะไม่มีผลย้อนหลัง นั่นหมายความว่า ผู้ที่เลี้ยงสัตว์อยู่ก่อนวันที่ข้อบัญญัตินี้มีผลบังคับใช้ สามารถเลี้ยงสัตว์ต่อไปได้ โดยมีเพียงหน้าที่ต้องแจ้งจำนวนสัตว์เลี้ยงและจดทะเบียนเท่านั้น
“รักเค้าให้มากๆ รับผิดชอบเค้าให้เยอะๆ อย่าให้มีเรื่องเดือดร้อนรําคาญกับเพื่อนบ้านหรือชุมชน ฉีดวัคซีนอย่างสม่ำเสมอ จดทะเบียนเค้าให้เรียบร้อย ทำหมันเลยก็ดีจะได้ช่วยเรากำกับควบคุมจำนวนไปเลย” รองผู้ว่าฯ ทวิดากล่าว พร้อมเน้นย้ำว่า “อย่าเอาเขาไปทิ้ง เลี้ยงเขามาเลี้ยงเขาต่อไปจนกว่าเขาจะจากท่านไปเอง”
ที่มาและวัตถุประสงค์ของข้อบัญญัติ
ข้อบัญญัตินี้เกิดขึ้นจากนโยบายของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ คือ
- การขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยงตลอดช่วงชีวิต เพื่อป้องกันการปล่อยทิ้งสัตว์ที่มีเจ้าของให้กลายเป็นสัตว์จรจัด
- การจัดระเบียบสัตว์จร โดยการควบคุมประชากรสัตว์ ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และส่งเสริมการหาบ้านใหม่ให้สัตว์จร แทนการซื้อสัตว์ใหม่มาเลี้ยง
ข้อบัญญัตินี้ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 และจะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 360 วัน นับแต่วันประกาศ หรือวันที่ 10 มกราคม 2569
สาระสำคัญของข้อบัญญัติ
การกำหนดเขตควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์
ข้อบัญญัตินี้กำหนดให้กรุงเทพมหานครเป็นเขตควบคุมการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ประเภทต่างๆ ดังนี้
- สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
- สัตว์ปีก
- สัตว์น้ำ
- สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ
- สัตว์เลื้อยคลาน
- สัตว์มีพิษหรือสัตว์ดุร้าย
ข้อกำหนดการเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่เอกชน
ในพื้นที่เอกชนในเขตกรุงเทพมหานคร ข้อบัญญัติได้กำหนดจำนวนสัตว์ที่สามารถเลี้ยงได้ตามขนาดของพื้นที่ ดังนี้
- สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ เช่น โค กระบือ ม้า กวาง: ไม่เกิน 1 ตัวต่อพื้นที่ 50 ตารางวา
- สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก เช่น แพะ แกะ สุกร ม้าแคระ: ไม่เกิน 3 ตัวต่อพื้นที่ 50 ตารางวา
- ไก่ เป็ด ห่าน: ไม่เกิน 1 ตัวต่อพื้นที่ 4 ตารางเมตร
- นกขนาดใหญ่ เช่น นกกระจอกเทศ: ไม่เกิน 1 ตัวต่อพื้นที่ 50 ตารางเมตร
- นกขนาดเล็ก: ไม่เกิน 5 ตัวต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร
หากต้องการเลี้ยงสัตว์เกินกว่าจำนวนที่กำหนด เพื่อประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ จะต้องปฏิบัติตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครว่าด้วยกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ข้อห้ามเกี่ยวกับการเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์
ข้อบัญญัติห้ามเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ในที่หรือทางสาธารณะในเขตกรุงเทพมหานคร ยกเว้นในกรณีต่อไปนี้
- เพื่อการรักษาโรคเจ็บป่วยหรือสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของสัตว์
- เพื่อกิจกรรมที่กรุงเทพมหานครอนุญาตในพื้นที่และระยะเวลาที่กำหนด
- เพื่อการย้ายถิ่นที่อยู่ของเจ้าของสัตว์
- การเลี้ยงหรือปล่อยสัตว์ของทางราชการ และการปล่อยสัตว์เพื่อการกุศลหรือตามจารีตประเพณี
หน้าที่ของเจ้าของสัตว์
เจ้าของสัตว์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด ดังนี้
- จัดให้มีสถานที่เลี้ยงสัตว์ที่มั่นคงแข็งแรงและเหมาะสม มีขนาดเพียงพอ มีอาหาร น้ำ แสงสว่าง การระบายอากาศที่เพียงพอ และมีระบบระบายน้ำและกำจัดสิ่งปฏิกูลที่ถูกสุขลักษณะ
- รักษาความสะอาดของสถานที่เลี้ยงสัตว์อย่างสม่ำเสมอ จัดเก็บสิ่งปฏิกูลให้ถูกสุขลักษณะ ไม่ปล่อยให้เกิดกลิ่นเหม็นรบกวน
- จัดให้มีการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคในสัตว์ และแยกกักสัตว์ที่สงสัยว่าเป็นโรค พร้อมแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- ควบคุมดูแลสัตว์ให้อยู่ในสถานที่เลี้ยง ไม่ปล่อยให้ออกนอกสถานที่โดยไม่มีการควบคุม
- จัดให้สัตว์สามารถแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติได้ตามสมควร
- ควบคุมดูแลสัตว์ไม่ให้ก่ออันตรายหรือเหตุรำคาญแก่ผู้อื่น
- กำจัดซากสัตว์และมูลสัตว์ให้ถูกสุขลักษณะเมื่อสัตว์ตาย
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าพนักงานและข้อบังคับต่างๆ ของกรุงเทพมหานคร
การควบคุมการเลี้ยงสุนัขและแมว
สำหรับสุนัขและแมว ข้อบัญญัติได้กำหนดจำนวนที่สามารถเลี้ยงได้ตามขนาดพื้นที่ ดังนี้
- พื้นที่อาคารชุดหรือห้องเช่า 20-80 ตารางเมตร: เลี้ยงได้ไม่เกิน 1 ตัว
- พื้นที่อาคารชุดหรือห้องเช่าตั้งแต่ 80 ตารางเมตรขึ้นไป: เลี้ยงได้ไม่เกิน 2 ตัว
- ที่ดินไม่เกิน 20 ตารางวา: เลี้ยงได้ไม่เกิน 2 ตัว
- ที่ดิน 20-50 ตารางวา: เลี้ยงได้ไม่เกิน 3 ตัว
- ที่ดิน 50-100 ตารางวา: เลี้ยงได้ไม่เกิน 4 ตัว
- ที่ดินตั้งแต่ 100 ตารางวาขึ้นไป: เลี้ยงได้ไม่เกิน 6 ตัว
ข้อกำหนดสำหรับผู้ที่เลี้ยงสัตว์เกินจำนวนที่กำหนดก่อนข้อบัญญัตินี้มีผลบังคับใช้ ให้แจ้งต่อสำนักงานเขตภายใน 90 วัน นับจากวันที่ข้อบัญญัตินี้มีผลบังคับใช้ (ภายในวันที่ 9 เมษายน 2569)
การจดทะเบียนสุนัขและแมว
เจ้าของสุนัขและแมวมีหน้าที่ต้องนำสัตว์ไปจดทะเบียน ออกบัตรประจำตัว และฝังไมโครชิป ภายในระยะเวลาที่กำหนด คือ:
- ภายใน 120 วัน นับแต่วันที่สัตว์เกิด หรือ
- ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่นำสัตว์มาเลี้ยงในเขตกรุงเทพมหานคร
การจดทะเบียนสามารถดำเนินการได้ที่หน่วยงานรับจดทะเบียน สำนักงานสัตวแพทย์สาธารณสุข สำนักอนามัย หรือสำนักงานเขต โดยต้องแสดงหลักฐานต่างๆ ตามที่กำหนด
การนำสุนัขหรือแมวออกนอกสถานที่เลี้ยง
เมื่อนำสุนัขหรือแมวออกนอกสถานที่เลี้ยง เจ้าของสัตว์ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด ดังนี้
- แสดงบัตรประจำตัวสัตว์เมื่อเจ้าหน้าที่เรียกตรวจ
- ใช้สายจูงที่แข็งแรงและจับสายจูงตลอดเวลา หรือใช้อุปกรณ์อื่นที่เหมาะสม
- สำหรับสุนัขควบคุมพิเศษ (เช่น พิทบูล รอทไวเลอร์) ต้องใช้อุปกรณ์ครอบปาก และใช้สายจูงที่มั่นคงโดยจับห่างจากคอสุนัขไม่เกิน 50 เซนติเมตร
- ห้ามบุคคลอายุต่ำกว่า 15 ปี หรือเกิน 65 ปี นำสุนัขควบคุมพิเศษออกนอกสถานที่เลี้ยง
บทลงโทษ
ผู้ที่ฝ่าฝืนข้อบัญญัตินี้ มีโทษตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยผู้ฝ่าฝืนตามมาตรา 29 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 25,000 บาท
ประโยชน์ของข้อบัญญัติ
ข้อบัญญัตินี้มีประโยชน์ต่อประชาชนหลายประการ ดังนี้
- ประโยชน์ของการฝังไมโครชิปและจดทะเบียนสัตว์:
- ไมโครชิปมีอายุการใช้งานตลอดชีวิตสัตว์และไม่สูญหาย
- ช่วยในการติดตามและระบุตัวสัตว์เมื่อพบในที่สาธารณะ
- ช่วยยืนยันความเป็นเจ้าของเมื่อเกิดข้อพิพาท
- ป้องกันการปล่อยทิ้งสัตว์:
- ลดปัญหาสัตว์จรจัด
- ควบคุมประชากรสัตว์ผ่านโครงการทำหมันและฉีดวัคซีน
ข้อบัญญัตินี้จึงเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมความรับผิดชอบของเจ้าของสัตว์เลี้ยง สร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม และช่วยลดปัญหาสัตว์จรจัดในระยะยาว